ระบบยุติธรรมภาคพลเมืองเครื่องมือสร้างสังคมใหม่


ห่างหายจากเวทีระดมสมองของกลุ่มบุคคลซึ่งมีความห่วงใยต่อบ้านเมืองภายใต้ชื่อ “สถาบันเครือข่ายทางปัญญา” ไปพักใหญ่ด้วยแต่ละท่านมีภารกิจประจำ และอีกหลายท่านได้รับการเชื้อเชิญให้ช่วยเป็นคณะทำงานในคณะกรรมการปฏิรูป และคณะสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย อันเป็นงานใหญ่และงานหินนั่นเอง


เมื่อวันอังคารที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา อันเป็นการประเดิมการประชุมในศักราชใหม่ 2554 จึงออกจะคึกคักเป็นพิเศษ นอกจากนั้นหัวข้อของการประชุมก็อยู่ในประเด็น “ปราบเซียน” เพราะว่าด้วยเรื่อง “ระบบยุติธรรมของสังคมไทย” จึงทำให้มีผู้สนใจอยากรู้อยากเห็น เข้าร่วมการเสวนาเพิ่มขึ้น


คงไม่มีใครปฏิเสธว่า “ระบบยุติธรรม” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิรูป เนื่องจากระบบยุติธรรมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ “กฎหมาย” ซึ่งเป็นเครื่องมือทางนโยบายทีสำคัญของ “รัฐ” ในการบริหารจัดการชาติบ้านเมือง


หากรัฐหรือผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศใช้อำนาจในการบริหารประเทศ โดยออกกฎหมายที่ขาดความชอบธรรม ปัญหาต่างๆ ย่อมเกิดขึ้น ทั้งความเหลื่อมล้ำ ความขัดแย้ง ความแตกแยก จนถึงสามารถเกิดความรุนแรงได้ หากประชาชนลุกขึ้นต่อต้าน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนกระทบต่อสุขภาวะหรือคุณภาพชีวิตของทุกคนในสังคมไทย…จริงไหมครับ


กรณีสดๆ ร้อนๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเสนอแนวคิดออกมาตรการ “ติดเคอร์ฟิวเด็ก” กำหนดห้ามเด็กออกจากเคหสถานหลัง 4 ทุ่ม ด้วยเหตุผลว่าเป็นการปกป้องพิทักษ์ความปลอดภัยให้กับเยาวชน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า กฎหมายอันไม่พึงปรารถนา ก่อให้เกิดปัญหาต่อสังคมโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น


กระบวนการจัดระบบความยุติธรรม หรือจะเรียกว่าเป็นการปฏิรูประบบความยุติธรรมในสังคมไทย จึงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องรอบคอบ รอบด้าน และมองข้ามความสำคัญของประชาชนเจ้าของประเทศไม่ได้


ในการประชุมครั้งนี้มี นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ผู้ปวารณาตัวที่จะทำงานจัดการและพัฒนาระบบยุติธรรมของสังคมไทยให้เป็นที่พึงปรารถนาของคนไทยส่วนใหญ่ เป็นผู้นำเสนอแนวคิดว่า


ระบบยุติธรรมชุมชนที่พึงปรารถนาของคนไทย ต้องเชื่อมโยงไปถึงสังคมทุกระบบ ซึ่งจะดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนจากระดับปัจเจกชน ชุมชน สู่ระดับชาติ โดยคณะทำงานตามโครงการที่เรียกว่า “โครงการพัฒนาแผนงานระบบยุติธรรมเพื่อสุขภาวะ” เห็นว่า การปฏิรูปความยุติธรรมในสังคมไทยนั้น จะต้องทำให้ประชาชนทุกระดับทุกภาคส่วนมีความเข้าใจตรงกันว่า


..ระบบความยุติธรรมนั้นไม่ใช่มีอยู่แค่ในตำรวจ อัยการ หรือผู้พิพากษา แต่แท้จริงแล้วทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมด้วยกันทั้งหมดได้..


ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องปรับนิยาม เปลี่ยนความเชื่อ และช่วยกันสร้างกลไกและกระบวนการให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เมื่อมีปัญหาไม่จำเป็นต้องไปหากฎหมาย ไม่ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเพียงอย่างเดียว


แต่เราสามารถบริหารจัดการกันเองตามแนวทางที่เรียกว่า “ระบบยุติธรรมภาคพลเมือง”


สำหรับยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน นายชาญเชาวน์ กล่าวว่า มีทั้งหมด 5 ข้อ ได้แก่


1. การสร้างองค์ความรู้และปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ใหม่ในเรื่องความยุติธรรมและระบบยุติธรรม


2. เสริมสร้างศักยภาพของประชาชนเพื่อสร้างระบบยุติธรรมภาคพลเมือง


3. พัฒนาการบริหารจัดการระบบยุติธรรมโดยประชาชนในท้องถิ่น


4. ส่งเสริมการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวกรวดเร็วและทั่วถึง


5. สนับสนุนระบบยุติธรรมของรัฐให้ตอบสนองต่อผู้ด้อยโอกาส


แปลเรื่องยากให้เป็นเรื่องเข้าใจง่ายขึ้นก็คือ การปฏิรูประบบยุติธรรมจะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่อย่างไรนั้น ต้องเริ่มจากการสร้างความรู้สึก และปรับทัศนคติให้ทุกคนเป็นเจ้าของความยุติธรรม และทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า ความยุติธรรมนั้นกระจายอยู่ทั่ว ไม่ใช่แต่เฉพาะในศาล ที่สถานีตำรวจ หรือ ณ ทำเนียบรัฐบาล


ระบบยุติธรรมภาคพลเมือง ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน เพราะแม้แต่ ดร.สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา ซึ่งอยู่ในคณะทำงานของโครงการนี้ด้วยยังยอมรับว่า กว่าตนเองจะเข้าใจเรื่องความยุติธรรมว่าไม่ได้จำกัดแค่กฎหมาย แต่แฝงอยู่ในทุกอณูพื้นที่ ตั้งแต่เกิดจนตายนั้น ก็ต้องศึกษาและคลุกคลีอยู่กับคณะทำงานที่ต้องการปฏิรูปความยุติธรรมไทยอยู่นานพอสมควร


ตัวอย่างที่ผู้พิพากษาสาวแห่งศาลฎีกาชี้ให้เห็นว่า ความยุติธรรมเป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่ผูกขาดอยู่ที่ผู้พิพากษา ตำรวจ อัยการนั้น เป็นเรื่องของบรรดาเอ็นจีโอที่ต่อต้านประท้วงบริษัทผู้ผลิตนมผงรายใหญ่ของโลก โดยกระตุ้นให้แสดงความรับผิดชอบต่อ “เด็ก” เกิดใหม่ทั่วโลกด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการโฆษณาจำหน่ายสินค้านมผงสำหรับทารกแรกเกิด


ท่านผู้พิพากษาเล่าว่า ตอนแรกไม่เข้าใจว่า เจ้าของสินค้าละเมิดความยุติธรรมอย่างไร แต่เมื่อฟังคำอธิบายจึงเข้าใจว่า นายทุนไม่ควรฉวยโอกาส และสมควรต้องให้ความรู้กับแม่มือใหม่ว่านมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดของแม่ และกรณีเอาเปรียบแบบนี้เป็นหน้าที่ภาคพลเมืองที่จะเรียกร้องต่อต้านเพื่อความยุติธรรมได้


เรื่องเล่าของท่านสุนทรียา ทำให้ผมเองร้อง “อืมมม..!!” ในใจเหมือนกันและสามารถเข้าใจได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า ค่านิยม ความเชื่อดั้งเดิมว่า หากจะถามหาความยุติรรมต้องใช้ “คนกลาง” อย่างตำรวจ หรือขึ้นศาลตัดสินนั้น มันไม่จริงเสมอไปเสียแล้ว เพราะทุกปัญหาเราสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง บนพื้นฐานของความถูกต้องเหมาะสม และเป็นที่ยอมรับในชุมชน หรือจะเริ่มจากครอบครัวของตัวเองก็ได้


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราลองจินตนาการไปข้างหน้าว่า สังคมไทยอาจจะต้องมีปัญหาการแบ่งสันปันส่วนการบริโภคทรัพยากรน้ำ ถ้าหากเราสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการระบบยุติธรรมภาคพลเมืองได้ล่ะก็ อนาคตอันใกล้เราก็คงไม่ต้องเห็นภาพของชาวบ้านขึ้นโรงขึ้นศาล หรือถือป้ายประท้วงถามหาความยุติธรรมของประเด็นปัญหาดังกล่าวแน่นอน เพราะชาวบ้านเท่านั้นที่จะตกลงกันเองได้ว่าพวกเขาจะใช้น้ำให้สนองประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุดได้อย่างไร.. มหาดไทยจะไปรู้มากกว่าได้ยังไง..จริงไหมครับ


คงต้องบอกว่า จำเป็นต้องให้กำลังใจกับคณะทำงานชุดนี้มากๆ หน่อย เพราะงานหินนะครับ ระยะเวลา 3 ปี ที่คาดหวังหรือวางแผนงานไว้นั้น สงสัยจังว่าจะมีผู้ผูกขาดความยุติธรรมยอมร่วมด้วยช่วยกัน และคลายอำนาจสักกี่มากน้อย


 


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย นายใฝ่ฝัน…ปฏิรูป                    

Shares:
QR Code :
QR Code