มูลนิธิเมาไม่ขับ สสส. จับมือผู้ว่าฯกรุงเก่า

ตั้งจังหวัดเมาไม่ขับ เตรียมขอศาลพิพากษาตามปริมาณการดื่ม

มูลนิธิเมาไม่ขับ สสส. จับมือผู้ว่าฯกรุงเก่า 

           มูลนิธิเมาไม่ขับ สสส. จับมือผู้ว่าฯ กรุงเก่า  ผุดอยุธยาเป็นจังหวัดเมาไม่ขับ เตรียมขอศาลพิพากษาตามปริมาณการดื่ม หวังเชือดขี้เหล้า  คนซ้อนเมาโดนด้วย  พ่อเมืองขานรับแนวทางพร้อมเผยยอดอุบัติเหตุทุกวันหลังแปดโมงเช้าผ่านวิทยุชุมชน หมอธนะพงศ์หนุนแนวทาง เพราะเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม ชี้ เมามากสมองช้ามาก

 

            เมื่อวันที่ 30 เม.ย. เวลา 11.00 น. นพ.แท้จริง  ศิริพานิช  เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมด้วยเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ  เดินทางเข้าพบนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ศาลากลางจังหวัดอยุธยา เพื่อหารือและเสนอแนวคิดของมูลนิธิฯซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดที่ให้ความสำคัญในการระงับความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ เพื่อผลักดันให้อยุธยาเป็น จังหวัดเมาไม่ขับและให้ดำเนินการกับผู้ที่เมาแล้วขับอย่างจริงจัง

 

           นพ.แท้จริง  กล่าวว่า  ทราบมาว่าจังหวัดอยุธยามีนโยบายในการดำเนินการกับผู้ที่มีระดับแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แล้วขับขี่ยานพาหนะ ด้วยการควบคุมตัวและดำเนินการในชั้นศาล โดยศาลมีคำสั่งจำคุกตามกฎหมาย ซึ่งมูลนิธิฯ เห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนอย่างจริงจัง  เพราะก่อนหน้านี้มี 2 จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการเป็นจังหวัดเมาไม่ขับ คือนนทบุรีและตราด  ซึ่งจากการคุยกันในวันนี้ ทุกฝ่ายจะประสานความร่วมมือทั้งจังหวัด  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่าจะทำงานในแนวทางเดียวกันอย่างไรได้บ้าง ถ้าหากโทษจำคุกรุนแรงไป  อาจจะต้องเป็นกักขัง  นอกจากนี้ทางผู้ว่าฯ จะประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ให้ประชาชนรับทราบด้วย

 

          นายวิทยา กล่าวว่า โครงการนี้จะบูรณาการร่วมกับ มูลนิธิเมาไม่ขับ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยจะแก้ไขปัญหาเมาแล้วขับเป็นระบบ ทั้งนี้จากฐานข้อมูลเดิมที่เคยรวบรวมมาพบว่า มีการดำเนินการกับผู้ที่เมาแล้วขับใน 2 กรณีคือ 1.ดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกตรวจพบแอลกอฮอล์เกินระดับที่กฎหมายกำหนด  2.ผู้ที่เกิดอุบัติเหตุจะถูกนำส่งโรงพยาบาลแต่ไม่มีการดำเนินคดี อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ จะมีการดำเนินคดีกับทุกคนทุกกรณีให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยจะประสานให้ศาลจังหวัดใช้กฎหมายตามปริมาณของการดื่มเพื่อยกระดับบทลงโทษ นอกจากนี้จะจัดให้มีด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ทุกพื้นที่เสี่ยง อาทิ ใกล้สถานประกอบการกลางคืน และจากนั้นช่วงเวลา 08.00 น.ของทุกวัน จะเปิดเผยตัวเลขอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับทางวิทยุชุมชนด้วย

 

            ขณะที่ นพ.ธนะพงศ์   จินวงษ์  ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)  กล่าวว่า การที่ท่านผู้ว่าฯอยุธยา  พึ่งศาลให้ลงโทษรุนแรงผู้ที่เมาแล้วขับนั้น แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นการชี้นำศาล แต่ในอีกมุมหนึ่งถือเป็นการให้ข้อมูลกับศาลว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นปัญหาสังคมที่ทำให้เกิดการสูญเสีย  ทั้งนี้หากมีการเพิ่มโทษโดยยึดเกณฑ์ระดับแอลกอฮอล์  ซึ่งการศึกษาพบว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 100-150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าผู้ไม่ดื่มถึง 8 เท่า และถ้ามีระดับแอลกอฮอล์ 151-200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มขึ้น มาเป็น 40 เท่า ที่สำคัญคือ มีการตอบสนองที่ช้าลง 1-1.5 วินาที  นอกจากนี้ ถ้าขับขี่ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การตอบสนองที่ช้าลง จะเพิ่มระยะการหยุดรถขึ้นอีก 35 เมตร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต

 

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.

 

 

Update : 04-05-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code