พิษภัยแร่ใยหินร้ายแรงถึงขั้น ‘มะเร็ง’

รู้ทัน-ป้องกันด้วยกฎหมาย

 

พิษภัยแร่ใยหินร้ายแรงถึงขั้น ‘มะเร็ง’ 

 

          มีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนว่า การสัมผัสกับแร่ใยหินอาจก่อให้เกิดมะเร็งและโรคปอด” …นี่เป็นส่วนหนึ่งจากเอกสารโครงการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การควบคุมสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน และมาตรการบังคับใช้กฎหมายซึ่งการประชุมดังกล่าวนี้จะจัดในวันที่ 25 พ.ย. นี้ โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

          เรื่อง “ภัยแร่ใยหิน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะมาตรการป้องกันภัยของคนไทย!! ทั้งนี้ จากเอกสารเกี่ยวกับพิษภัยของแร่ใยหิน ของ คคส. ว่าไว้ว่า…แร่ใยหิน หรือแอสเบสตอส หมายถึงกลุ่มของแร่อนินทรีย์ที่เกิดตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นเส้นใย แข็งแรง ยืด หยุ่น ทนทานความร้อนได้ดี ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังมีการอนุญาตให้ใช้ แร่ใยหินชนิดไครโซไทล์แร่ใยหินชนิดหนึ่งในกลุ่มแร่ใย หินสีขาวเป็นองค์ประกอบของสินค้าชนิดต่างๆ ซึ่งทั้งผู้เกี่ยวข้องในการผลิต – การก่อสร้าง ผู้ประกอบกิจการทำลายวัสดุที่มีแร่ใยหิน รวมถึงประชาชนทั่วไป มีโอกาสได้รับอันตราย หากไม่ได้ทราบถึงอันตรายและมาตรการป้องกันตนเอง

 

          การใช้แร่ดังกล่าวนี้ในปัจจุบัน ร้อยละ 90 ใช้ในสินค้าวัสดุก่อสร้าง ท่อซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา ร้อยละ 8 เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผ้าเบรกและคลัตช์ และร้อยละ 2 เกี่ยวกับกระเบื้องปูพื้นวัสดุกันความร้อน – ทนไฟ ว่ากันถึงอันตรายจากแร่ใยหิน ผลจากการที่อนุภาคของแร่ใยหินสามารถฟุ้งกระจายสู่ปอดอันตรายที่จะเกิดขึ้นคือทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ที่เกี่ยวกับปอด ได้แก่…1. โรคปอดอักเสบจากแอสเบสตอส หรือแอสเบสโตซิส ทำให้เกิดความผิดปกติต่อเยื่อพังผืดของปอด นำไปสู่ความผิดปกติของปอดในที่สุด 2. โรคมะเร็งปอด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก ถ้าผู้สัมผัสสูบบุหรี่ร่วมด้วย 3. โรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดเมโสเทลิโอมา นี่เป็นโรคที่มีสาเหตุจากแร่ใยหินอย่างเจาะจง โดยพบว่าโรคมะเร็งชนิดนี้มีสาเหตุมาจากแร่ใยหินเท่านั้น

 

          ในเอกสารของ คคส. ระบุว่า…ในประเทศไทยเริ่มพบผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด เมโสเทลิโอมา โรคที่มีสาเหตุจากแร่ใยหินอย่างเจาะจง ในเดือน ส.ค. 2550 ซึ่งในที่สุดผู้ป่วยก็ เสียชีวิตในวันที่ 4 ม.ค. 2551 ขณะอายุ 75 ปี โดยผู้ป่วยมีประวัติการทำงานคือ ทำงานในแผนกหินสำลีเพื่อผลิตกระเบื้องหลังคาเป็นเวลา 24 ปี ทั้งนี้ การที่พบผู้ป่วยหลังสัมผัสแร่ใยหินเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าโรคจากแร่ใยหินสามารถป้องกันได้ไม่ยาก แม้ว่ามะเร็งและโรคปอดจากแร่ใยหินจะมีโอกาสพบมากในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้รับสัมผัส เช่น คนงานในโรงงานผลิตสินค้าที่มีแร่ใยหิน โรงงานต่อเรือ ช่างก่อสร้าง หรือคนงานทุบทำลายตึกอาคาร

 

 พิษภัยแร่ใยหินร้ายแรงถึงขั้น ‘มะเร็ง’

 

          จริงๆ แล้ว โรคจากแร่ใยหินป้องกันได้ยาก โดยการแตกกระจายของอนุภาคแร่ใยหินที่ฟุ้งกระจายสู่ปอดนั้น เกิดจากการเลื่อย ตัด ทุบกระเบื้อง – ฝ้า – วัสดุที่มีแร่ใยหิน ซึ่งการทุบทำลายอาคารสามารถทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของอนุภาคของแร่ใยหิน แล้วอันตรายจากโรคมะเร็ง – โรคปอดก็อาจเกิดกับผู้ทุบทำลายตลอดจนผู้ที่ทำการขนส่งนำขยะที่มีแร่ใยหินไปทิ้ง หรือผู้ที่ผ่านไปมาและรับสัมผัส

 

          จากอันตรายของแร่ใยหิน ได้มีการยกเลิกการใช้แร่ใยหินแล้วราว 47 ประเทศ เช่น อังกฤษ ประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาร์เจนตินา ชิลี อียิปต์ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ อุรุกวัย เกาหลี และมีการจำกัดการใช้อย่างเข้มงวดในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา รวมถึงหลายประเทศได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการรื้อถอนอาคารเก่าที่มีการใช้วัสดุแร่ใยหินอย่างเคร่งครัด ขณะที่องค์การอนามัยโลก องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ และองค์กรนานาชาติด้านการวิจัยโรคมะเร็งด้านพิษวิทยาและสิ่งแวดล้อม ต่างก็สนับสนุนการยกเลิกการใช้แร่ใยหินทุกชนิด

 

          กล่าวสำหรับประเทศไทย คคส. ระบุไว้ว่า…ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ กำหนดให้มีคำเตือนในสินค้าที่มีแร่ใยหินเป็นองค์ประกอบ โดยต้องระบุคำเตือนดังนี้คือ “ระวังอันตราย ผลิตภัณฑ์นี้มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ การได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายอาจก่อให้เกิดมะเร็งและโรคปอด” ซึ่งประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2553 แต่ในการปฏิบัติตามข้อกฎหมายดูจะยังไม่เป็นไปอย่างเข้มงวด ขณะที่การใช้สารอื่นทดแทนแร่ใยหิน ซึ่งก็มีหลายอย่าง ก็ยังไม่เป็นไปอย่างแพร่หลาย

 

          ภัยแร่ใยหิน” เป็นอีกหนึ่งภัยที่คนไทยยังต้องเสี่ยง “โรคปอด – มะเร็ง” ไม่ใช่แค่โรคพื้นๆ ที่ไม่ร้ายแรงการรู้เท่าทัน – ป้องกันภัยด้วยกฎหมาย…จึงสำคัญ!!

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update : 18-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : กิตติภานันทร์ ลีจันทึก

 

Shares:
QR Code :
QR Code