`บางลำพู` ประวัติศาสตร์มีชีวิต

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


ภาพประกอบจากกิจกรรมสัมผัสเสน่ห์บางลำพู เคียงคู่วิถีถิ่นภาคกลาง


'บางลำพู' ประวัติศาสตร์มีชีวิต thaihealth


พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ยังมีสถานที่น่าชมอีกมากมาย นอกเหนือจากสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวรู้จักและคุ้นเคยกันดีอย่าง วัง วัด และสถาปัตยกรรม


หากลองเดินสำรวจ โดยตั้งต้นที่ถนนพระอาทิตย์ จุดเริ่มปลายสะพานพระรามแปด ฝั่งพระนคร ลัดเลาะทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา มาถึงป้อมพระสุเมรุ จะพบกับ ชุมชนโบราณที่อยู่คู่กับ พระนคร มาตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ คือ "ชุมชนวัดสังเวชวิศยาราม" หรือปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ "ชุมชนบางลำพู" ตามชื่อเดิมของวัดสังเวช


ช่วงสุดสัปดาห์ก่อน ประชาคมย่านบางลำพู ร่วมกับ กรุงเทพ มหานคร, กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงาน สัมผัสเสน่ห์บางลำพูเคียงคู่วิถีถิ่นภาคกลาง ที่ลานกลางแจ้งในพื้นที่พิพิธบางลำพู โดยนำวัฒนธรรม ประเพณี วิถีถิ่น รวมถึงประวัติศาสตร์มีชีวิต ของคนบางลำพู จำลองให้ผู้ที่สนใจได้ชมและสัมผัสอย่างใกล้ชิด


แม้กิจกรรมของงานจะไม่ได้พาเราไปสำรวจพื้นที่และแหล่งของดีย่านบางลำพู แต่ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ขออาสาพาไปย้อนรอย เส้นทางวิถีถิ่นของชุมชนเก่าแก่แห่งนี้ เริ่มจากคำบอกเล่า ของ "ลุงชัย" สุรชัย รุณบุญรอด ผู้ชอบงานศิลปะแต่ไม่ขอเรียกตัวเองว่าศิลปิน วัย 63 ปี บอกว่า วัยเด็กบ้านของลุงอยู่ฝั่งตรงข้ามย่านบางลำพู คือ หลังวัดดงมูลเหล็ก ย่านบางกอกน้อย ด้วยวัยที่คึกคะนองและซุกซน ลุงชัยจึงมีเพื่อนอยู่ทั้ง 2 ฝั่งเจ้าพระยา เวลาไปมาหาสู่กัน จะใช้การเดินทาง 2 วิธี คือ เกาะเรือชาวบ้านข้ามเจ้าพระยา หรือไม่ก็ว่ายน้ำข้ามไป


"สมัยก่อนผมชอบมาหาเพื่อนแถวบางลำพู ชวนไปสนามหลวง ไปเล่นว่าว ไปปั่นจักรยานเล่นกันประจำ บ้านเรือนสมัยก่อนไม่เป็นอย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ของเจ้าขุนมูลนาย ผู้ที่รับใช้ใน พระราชวัง อาณาเขตของบางลำพู ตอนนั้นเรียกว่าไม่มีที่สิ้นสุด ขนาด คนที่อยู่แถววัดสามพระยา ยังเรียกตัวเองว่าเป็นคนบางลำพูก็มี" ลุงชัย ย้อนความ


จากข้อมูลของ "ลุงชัย" เราพบแหล่งอ้างอิงสำคัญ จากพิพิธบางลำพู ซึ่งเปรียบเหมือนพิพิธภัณฑ์ของชุมชน ระบุว่า ย่านชุมชนบางลำพู มีอาณาเขตกว้างขวาง และมีชุมชนสำคัญ 7 แห่งพร้อมของดี 7 อย่างที่ซ่อนในพื้นที่ หากให้ป้อมพระสุเมรุเป็นจุดตั้งต้น มองไปด้านทิศเหนือ พื้นที่จะไปจรดไกลถึงแยกบางขุนพรหม มีชุมชุนสำคัญ ชุมชนวัดสังเวชวิศยาราม ของดีขึ้นชื่อคือ การแสดง มีโรงลิเก บ้านดนตรีไทย ที่ยังมีให้เห็นเด่นชัดจนถึงปัจจุบัน คือ บ้านดุริยประณีต ที่ตั้งอยู่ในซอยลำพูหลังวัดสังเวช ที่ทำหน้าที่สืบสานและอนุรักษ์ศิลปะดนตรีไทยประจำชาติ และชุมชนวัดสามพระยา เป็นอีกที่ที่มีของดีขึ้นชื่อ คือศิลปะที่ทำจากใบลาน แม้ปัจจุบันศิลปะที่ว่าจะเลือนหาย แต่ยังมีของดีที่ต้องบอกต่อคือ ของหวานขึ้นชื่อ ข้าวต้มน้ำวุ้น ที่มี "ป้าแอ๊ว" วรรณา เวิ่นทอง วัย 70 ปี เป็นต้นตำรับ เพราะบ้านนี้เขาสืบทอดมาแล้วถึง 3 รุ่น


ดูต่อที่ด้านทิศใต้ พื้นที่ไปจรดถนนราชดำเนินกลาง มีชุมชนสำคัญ คือ ชุมชนเขียนนิวาสน์-ตรอกไก่แจ้ ของดีขึ้นชื่อคือ ประวัติศาสตร์มีชีวิต ทำเครื่องโขน-ละคร ที่สืบทอดกันมาของตระกูล "หลาวทอง" ต่อมาคือ ชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ ในอดีตชุมชนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า เป็นช่างทำทองที่ฝีมือประณีต แต่ปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว เพราะขาดความเอาใจใส่ และ ชุมชนบวรรังษี ปัจจุบันขึ้นชื่อว่าเป็นย่านผลิตทองคำเปลว แต่ในอดีตถือเป็นชุมชนที่อุดมด้วยช่างตีทองสุดยอดฝีมือ


ขณะที่ด้านทิศตะวันออก กินพื้นที่ไปจรดแยกผ่านฟ้า มีชุมชนสำคัญ คือ ชุมชนวัดใหม่อมตรส ที่โดดเด่นเรื่องศิลปะการแทงหยวก และ ชุมชนบ้านพานถม ของดีคือ การทำเครื่องเงิน เครื่องถมด้วยมือ ของช่างที่ถ่ายทอดวิชามารุ่นสู่รุ่น แม้ตอนนี้ อุตสาหกรรมสเตนเลสเข้ามาแทนที่ แต่ที่แหล่งนี้ยังคงอนุรักษ์การทำงานประดิษฐ์ด้วยมืออันประณีตไว้ได้เต็มภาคภูมิ ส่วนทิศตะวันตกนั้นจรดแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าเกษตรของชาวบ้าน ปัจจุบัน คือ สวนสันติชัยปราการ


ซึ่งชุมชนทั้ง 7 และของดี 7 อย่างที่ถูกคัดเลือกให้เป็นของขึ้นชื่อนั้น หากใครต้องการเข้าไปสัมผัสให้ถึงแก่น ขอบอกว่า เข้าถึงได้ยากหน่อย เพราะทั้งหมดนั้นถูกซ่อนตัวอยู่ในซอกตึก และเงาของความเจริญที่มาพร้อมกับการพัฒนาและขยายตัวของแหล่งธุรกิจ แหล่งการค้า ศูนย์กลางนักท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ


แต่ภายในงาน สัมผัสเสน่ห์บางลำพู นำของดีในชุมชน แบบย่อมาจัดแสดงพร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองทำอย่างใกล้ชิด อาทิ โซนต่อเรือบดจำลอง และ ว่าวจุฬา ที่ ลุงชัย และครอบครัว ตั้งโต๊ะสอนเด็กๆ ที่สนใจ, โซนสาธิตศิลปะแทงหยวก จากตระกูลธนโกเศศ, โซนห่อข้าวต้ม เพื่อนำไปทำข้าวต้มน้ำวุ้น ที่ "ป้าแอ๊ว" เป็นครูสอนผู้สนใจ, สาธิตปักเครื่องโขน ซึ่งมีผู้สนใจแวะเวียนไปขอวิชาจากครูชาวชุมชนอย่างไม่ขาดสาย สร้างความยินดีให้แก่ "ครูของชุมชน" ซึ่งสะท้อนผ่านแววตาว่า มรดกของชุมชนยังมีคนสนใจและหวังต่อด้วยว่าจะมีคนที่ใส่ใจมาสืบทอดต่อ และไม่ทำให้ มรดกอันล้ำค่าสูญหาย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับศิลปะบางแขนงที่ถูกลืมเลือน หลังการพัฒนาเข้าสู่ย่านชุมชนแห่งนี้


หากย้อนดูวิถีดั้งเดิมของ "ชุมชนบางลำพู" ที่ถูกกลืนหายไปหลังกระแสการพัฒนาเข้าสู่พื้นที่ เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่การย้ายราชธานีสยามจากฝั่งธนบุรี มาอยู่ฝั่งพระนคร ทำให้ชุมชนบางลำพูที่ชาวบ้านอยู่อาศัย กลายเป็นพื้นที่พักของเหล่าเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชบริพาร และเมื่อมีคนรวมตัว แหล่งการค้าธุรกิจจึงเกิดขึ้น และด้วยทำเลของบางลำพู ที่ติด กับแม่น้ำเจ้าพระยา มีคลองหลายสายผ่าน ทำให้จึงเป็นเมืองท่าขนาดย่อยเพื่อขายสินค้าการเกษตร


ตามเอกสารอ้างอิงทางประวัติศาสตร์บางลำพู ระบุไว้ว่า "หลังก่อสร้างพระราชวังดุสิต ถนนหลายสายถูกตัดผ่านชุมชน อาทิ ถนน จักรพงษ์, ถนนพระอาทิตย์, ถนนพระสุเมรุ, ถนนข้าวสาร, ถนนรามบุตรี, ถนนสิบสามห้าง ทำให้ชุมชนบางลำพูกลายเป็นแหล่งพาณิชย์  มีโรงภาพยนตร์ มีโรงมหรสพ โรงลิเก ทำให้บางลำพูมีความสำคัญทางการค้า"


สิ่งที่การันตีข้อมูลนั้นได้ เพราะจำนวนตลาด และห้างสรรพสินค้า ที่ผุดขึ้นถึง 4 แห่งคือ ตลาดยอด หรือ ห้างนิวเวิลด์ อดีตเป็นตลาดขายดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องหอม, ตลาดเช้า ถนนไกรสีห์ ข้างห้างนิวเวิลด์, ตลาดนรรัตน์ อยู่เชิงสะพานบางลำพูด้านทิศใต้, ตลาดนานา ปัจจุบันไม่มีอยู่แล้วเพราะธุรกิจซบเซา จึงขายที่ให้สร้างตึก และทำธุรกิจที่พัก, ตลาดทุเรียน ตรงข้ามตลาดคลองรอบกรุง ปัจจุบันตลาดทั้งหมดเปลี่ยนสภาพเป็นตึก ย่านที่พักเกือบหมดแล้ว


เมื่อเปรียบเทียบกันกับประวัติศาสตร์มีชีวิต ชะตากรรมอาจจะใกล้เคียงกัน เหตุผลคือ ไร้คนสืบทอดที่จริงจัง เห็นได้ชัดจาก ตระกูลช่างทอง ที่มีช่างฝีมืออยู่ในชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ ปัจจุบันไร้คนสืบทอด และเหลือไว้เพียงข้อมูลประวัติศาสตร์และมัสยิดจักรพงษ์เท่านั้นโดย "บังซัน" โอภาส มิตรมานะ รองโต๊ะอิหม่าม มัสยิดจักรพงษ์ เล่าความตอนหนึ่งว่า มัสยิดจักรพงษ์มีอายุกว่า 200 ปี และเป็นมัสยิดเพียง 1 ใน 2 แห่ง ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้า แผ่นดินสมัยนั้นสร้างในเขตพระราชฐานชั้นใน อีกแห่งคือ มัสยิดบ้านตึกดิน และเป็นบุญอย่างยิ่งของชาวมุสลิมที่ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระเจ้าแผ่นดินสยาม รวมถึงได้รับความไว้วางใจให้ทำเครื่องทอง และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ทางพระราชวัง แต่ช่วงหลังมรดกทางศิลปะแขนงนี้ไร้คนเอาใจใส่สืบทอด ทำให้การทำทอง และเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นสูญหายไป


เช่นเดียวกับเรื่องเล่าของ "แม่เปี๊ยก" สมคิด หลาวทอง อดีตข้าราชการกรมศิลปากร วัย 79 ปี ที่มีอาชีพหลักคือ ช่างปักผ้าเครื่องโขน-ละคร ที่ถอนหายใจยาว เมื่อถูกถามว่าศิลปะแขนงนี้มีกี่คนที่รอสืบทอด ก่อนจะตอบว่า " ไม่มีใครที่เป็นความหวัง แม้จะมีนิสิต นักศึกษามาสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูล แต่เข้าใจว่าทำเพราะอาจารย์สั่งมา แต่น้อยมากที่ตั้งใจเข้ามาเรียนรู้ เพื่อให้ศิลปะแขนงนี้คงอยู่"


ทั้งนี้ "แม่เปี๊ยก" เข้าใจว่าคนรุ่นใหม่มีมุมมองที่ต่างจากเธอ เพราะเธอยึดอาชีพปักเครื่องโขน-ละคร กว่า 55 ปี เพราะด้วยหน้าที่และใจรัก ขณะที่วัยรุ่นสมัยใหม่มองสิ่งที่เธอทำว่าเป็นเรื่องยาก ใช้เวลานาน แต่ใจจริงของ "แม่เปี๊ยก" อยากให้คนรุ่นใหม่คิดว่า แม้จะยาก แต่นี่คือมรดกของชาติ เป็นความงดงามและควรค่าต่อการอนุรักษ์ สืบทอด


สำหรับสิ่งที่ "คนรุ่นหลัง" เริ่มปลงกับความผันแปร และเตรียมใจหากวันหนึ่ง ของดั้งเดิมไร้การสืบทอด พื้นที่ชุมชนบางลำพู ได้สร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ขึ้นในพื้นที่ ในชื่อของ ประชาคมบางลำพูและชมรมเกสรลำพู ที่รวมกลุ่มเด็กในพื้นที่ทำกิจกรรม และร่วมงานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ เพื่อหวังว่าเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้จะเป็นผู้พิทักษ์มรดกของชุมชนเอาไว้ ซึ่ง "น้องบังอร" ด.ญ.นริณทิพย์ ใบพัด วัย 14 ปี เด็กชุมชนย่านพานถม หนึ่งในไกด์บางลำพู ที่เป็นอาสาสมัครให้แก่พิพิธบางลำพูเกือบปี เล่าถึงความภูมิใจต่องานที่ทำว่า ได้เป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของชุมชน ผ่านการเรียนรู้และบอกต่อ แม้ว่างานอนุรักษ์ของดีย่านชุมชน คนรุ่นใหม่จะไม่สนใจของเก่าแก่แล้ว แต่ขาดการมีส่วนร่วม แต่สิ่งที่จะพอให้ศิลปะเก่าแก่ของชุมชนอยู่ต่อไปได้ คือ อย่าทำลาย


ประวัติศาสตร์ที่ "บางลำพู" แม้ขณะนี้ จะได้รับการอนุรักษ์ และมีเยาวชน ตัวน้อยเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ แต่ในยุคที่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลง การพัฒนาตามระบบทุนถาโถม จึงถือเป็นจุดเสี่ยงอันสำคัญที่ "ชุมชนบางลำพู" อาจถูกเปลี่ยนและเลือนหายไปจากความทรงจำอีกครั้ง แต่ด้วยคนอนุรักษ์ที่ใส่ใจอาจทำให้ลมหายใจของ บางลำพู ต่อเวลาไปได้อีก


แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงการคาดเดา เพราะเอาเข้าจริงกระแสอนุรักษ์อาจจะพ่ายต่อกระแสทุนนิยมก็ได้ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังย่ำแย่ แบบนี้

Shares:
QR Code :
QR Code