บันไดดนตรี ที่บ้านอุ่นรัก
เด็กออทิสติก เป็นคำที่สังคมไทยค่อนข้างคุ้นเคยกัน แต่จะเข้าใจลึกซึ้งหรือไม่นั้น อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ อาการบกพร่องด้านการพัฒนาการทักษะทางสังคมและการสื่อความหมายที่เหมาะสมตามวัยเหล่านั้น สามารถส่งเสริมให้มีพัฒนาการใกล้เคียงกับปกติได้ โดยการดูแลของผู้ปกครอง ประสานกับโรงเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย 'ดนตรี' เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็กพิเศษกลุ่มนี้
จากงานเปิดตัวหนังสือ 'บันไดดนตรี ที่บ้านอุ่นรัก' โดย มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ สสส. และ บ้านอุ่นรัก สะท้อนให้เห็นถึงพลังของดนตรีบำบัด โดยผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า 'ไหมลี' พาไปเกาะติด 'โครงการสอนดนตรีให้กับเด็กพิเศษ' ที่บ้านอุ่นรัก ทั้งการสอนดนตรีเดี่ยว (ส่วนบุคคล) และกลุ่มแบบ 'กิจกรรมกลุ่มดนตรี' ที่สอนต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี โดย ครูนัช-นักดนตรีจิตอาสาคนหนึ่ง
ในเวลานั้น ศูนย์พัฒนาการเด็กออทิสติก บ้านอุ่นรัก ก่อตั้งเข้าปีที่ 14-15 แล้ว โดย ครูนิ่ม-นิสิตา ปีติเจริญธรรม อดีตนักจิตวิทยาคลินิกจากโรงพยาบาลรัฐ ที่หวังนำความรู้มาสร้างรายได้ แต่ไปๆ มาๆ ความไม่เดียงสาของเด็กน้อยกลุ่มนี้กลายเป็นความผูกพันมุ่งหวังดูแลเด็กๆ ให้มีพัฒนาการดียิ่งๆ ขึ้นไป จึงได้เปิดกว้างให้ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ เข้ามาร่วมส่งเสริมพัฒนาเด็ก พร้อมสรรหาบุคลากรคุณภาพและปรับปรุงหลักสูตรทุกปี
ในวันที่ครูนัช อาสามาสอนดนตรีให้กับเด็กๆ ครูนิ่มจึงยินดีเป็นอย่างมาก เพราะสัมผัสพลังของดนตรีอย่างเต็มเปี่ยมมาแล้วตั้งแต่สมัยทำงานด้านจิตเวชในโรงพยาบาล อีกทั้งเมื่อเริ่มต้นเปิดบ้านอุ่นรักสมัยแรกๆ ก็มีคนรู้จักคนหนึ่งที่เรียนจบดนตรีจากอังกฤษมาช่วยสอนด้วย แต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงระยะสั้น และทิ้งช่วงไปกว่าสิบปี การมาเยือนของครูนัชจะเป็นการสานต่อความตั้งใจอีกครั้ง จึงจัดให้มีการประชุมจัดทำแผนการสอนอย่างเป็นระบบ ระหว่าง 'คณะครูบ้านอุ่นรัก' กับครูนัช พร้อมมอบหมายหน้าที่ให้ ครูกิ๊ก-รัชฎาภรณ์ พะรินรัมย์ ซึ่งรู้จักเด็กๆ เป็นอย่างดี มาคอยดูแลประสานระหว่างเด็กๆ กับครูนัช
20 สิงหาคม 2558 เป็นวันเปิดตัวหนังสือให้สาธารณะได้รับรู้ถึงโครงการดังกล่าวที่มหาวิทยาลัยรังสิต แต่เดือนเดียวกันนี้เมื่อ 5 ปีก่อน ครูนัชของเด็กๆ หอบคีย์บอร์ดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งไปตั้งกลางห้อง แล้วค่อยๆ สอนให้กับลูกศิษย์ตัวเล็กๆ ทีละคนๆ ตามที่ได้วางแผนการสอนมาแล้ว
แต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด!! เนื่องจากพฤติกรรมโดยทั่วไปแล้ว เด็กออทิสติกจะมีกิจกรรม ความสนใจแบบแผนซ้ำๆ ไม่สนใจการเล่นหรือเข้ากลุ่มเพื่อน บางรายพูดช้า หรือพูดซ้ำๆ ไม่สามารถสนทนาต่อเนื่องกับคนอื่นได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะ 'สมาธิ' การให้อยู่นิ่งๆ นานๆ นั้น แทบเป็นไปไม่ได้
มากกว่านั้นคือ แต่ละคนมีอาการที่แตกต่างหลากหลาย การเรียนการสอนจึงค่อยเป็นค่อยไป ครูกิ๊ก ในฐานะผู้ใกล้ชิดกับเด็กๆ รับทราบถึงข้อจำกัดนี้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ปฏิเสธเมื่อได้รับมอบหมายงานจากครูนิ่ม ให้ดูแลโครงการ เพราะในหัวใจนั้นมุ่งหวังให้เด็กๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่ทางใดทางหนึ่งอยู่แล้ว
"ตอนแรกที่ได้รับมอบหมาย ก็ไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จไหม หรือว่าเด็กๆ จะสามารถเล่นดนตรีได้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งในความตั้งใจคือ ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยพัฒนาการของเด็กๆ และมีความมั่นใจว่าอย่างน้อยเด็กๆ จะมีสมาธิขึ้น อย่างน้อยเด็กได้มีความสุขกับเสียงเพลง และมีความหวังลึกๆ ว่าต้องมีสักคนที่มีความชอบและความสุขกับดนตรี"
"ความยากมีหลายอย่าง เช่น เด็กยังไม่รู้ว่าการนั่งและการขยับมือเป็นอย่างไร และเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโน้ตแต่ละตัวคือตัวไหน อะไร ยังไง ครูกิ๊กก็ต้องประสานกันกับครูนัช ว่าจะให้เด็กนั่งยังไง เพราะเด็กแต่ละคนก็มีอาการต่างกันไป"
ครูกิ๊ก เล่าถึงการบรรยากาศการเรียนการสอนที่เป็นไปอย่างชุลมุน เช่น เด็กบางคนมีความไวต่อเรื่องเสียง ทุกครั้งที่มีเสียงดังขึ้นมาก็จะยกมืออุดหูทั้งสองโดยอัตโนมัติ เพราะทนเสียงไม่ได้ ดูแล้วโอกาสจะเรียนดนตรีจึงเป็นไปได้ยาก หรืออีกคนสนใจสิ่งอื่นจึงไม่มีสมาธิพอที่จะฟังครูนัช หรือสอนๆ ไปแล้วเด็กบางคนรับไม่ได้กับคำว่า (เล่น) 'ผิด' ก็ต้องหาคำใหม่ โดยใช้คำว่า 'ซ่อม' แทน รวมถึงรับไม่ได้กับการที่ครูนัชบอกว่า 'อีกรอบหนึ่ง' เพราะไม่รู้ว่าต้องเล่นอีกกี่รอบ จึงปรับคำใหม่กับครูนัชให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วยคำว่า 'ซ่อมใหม่ให้ครบ 10 รอบ' เป็นต้น ถึงจะเรียนกันได้ โดยความโกลาหลนี้ ทางผู้เขียน-ไหมลี ก็ได้บันทึกไว้อย่างละเอียดเช่นเดียวกัน
"ลูกศิษย์ครูนัช แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ทั้งเด็กออทิสติก เด็กสมาธิสั้น และเด็กที่พัฒนาการช้า วิธีการสอนจึงแตกต่างกันไป อย่าง 'เด็กออทิสติก' ที่ต้องเน้นการสานสัมพันธ์ ก็ต้องกดโน้ตช้าๆ ทีละโน้ต แล้วหยุดรอจังหวะกระตุ้นให้เด็กสบสายตา ให้ออกเสียงโน้ตเป็นระยะ ถ้าเป็น 'กลุ่มสมาธิสั้น' เน้นการจดจ่อ ฝึกให้เด็กควบคุมตัวเอง โดยให้กอดอดรอจนกว่าจะนิ่ง แล้วจึงให้กดโน้ต ถ้าระหว่างการสอนเด็กมีอาการรีบรน ครูก็จะเคาะจังหวะให้ช้าลง ส่วน 'เด็กสมาธิสั้นแบบเหม่อลอย' ครูก็อาจจะเคาะจังหวะให้เร็วขึ้น แต่ถ้าเป็น 'กลุ่มพัฒนาการช้า' จะเน้นทักษะความเข้าใจ ครูเน้นความจำโน้ตโดยใช้สีหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างแทนตัวโน้ต." เป็นบรรยากาศการเรียนการสอนแบบเฉพาะตัวตอนหนึ่งจาก 'ไหมลี'
นอกจากนี้ก็มีชั่วโมงของ 'การเคาะจังหวะ' ด้วย แต่ช่วงที่น่าสนุกเห็นจะเป็นตอนที่ครูนัช สอน 'อ่านโน้ต' หรือ 'กดโน้ต' นั่นเอง เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้จะถนัดการเรียนรู้และจำจากภาพ สามารถเลียนแบบ และทำได้ตามภาพที่เห็นเป็นหลัก จึงมีการใช้กระดาษสีแปะบนแป้นคีย์บอร์ดตามตำแหน่งโน้ตแต่ละสีให้แตกต่าง แล้วใช้กระดาษสีเดียวกันแปะที่นิ้วของนักเรียน หรือใช้ปากกาสีแต้มที่เล็บของนักเรียน แล้วครูก็ออกเสียงโน้ตพร้อมให้นักเรียนกดโน้ตตัวนั้นไปพร้อมๆ กัน นักเรียนจะทำตามมากเป็นพิเศษ ซึ่งจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากกลับไปฝึกฝนต่อที่บ้าน
"ดนตรีมีพลังในตัว เห็นได้ชัดว่าสามารถส่งเสริมพัฒนาการดีขึ้น อย่างน้องที่เคยยกมืออุดหู วันนี้ก็ไม่อุดหูแล้ว และสามารถเล่นดนตรีได้" ครูกิ๊กเล่าถึงข่าวดีที่ทำให้เธอยิ้มได้ บางครั้งแอบมีน้ำตาด้วยความปีติ นอกจากนี้ดนตรียังทำให้พัฒนาการทางด้านการเรียนดี และมีความจำดีขึ้นด้วยอย่างเห็นได้ชัด
"ในการพัฒนาต่อเนื่องในด้านอื่น คิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะด้านศิลปะดนตรี แต่ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนของการย่อยงาน คือเราต้องรู้จักพฤติกรรมและลักษณะของเด็กแต่ละคน เพื่อจะได้รู้จักเด็ก รู้ใจกัน และรู้วิธีการที่ใช้สื่อสารกันด้วย" ครูกิ๊กแนะนำวิธีการเบื้องต้น
ผลสำเร็จเป็นอย่างไร สำหรับครูกิ๊ก แทบไม่ต้องอธิบาย เธอมีรอยยิ้มกว้างเป็นคำตอบ
ด้าน 'ไหมลี' เปรียบเทียบให้ฟังว่า ความสำเร็จของโครงการสอนดนตรีที่บ้านอุ่นรักนี้ ไม่ต่างจาก 'ภาพปก' ของหนังสือแต่อย่างใด กว่าจะสำเร็จได้ เส้นทางเต็มไปด้วยความขรุขระ คดเคี้ยว บางครั้งขาดความต่อเนื่อง กระทั่งบางคนหายไประหว่างทาง แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีเด็กที่ไปถึงจุดหมายปลายทางได้บ้าง ซึ่งสภาพบรรยากาศเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทั้งครูนัช ทั้งนักเรียน ต่างต้องหนีน้ำไปตามทางของแต่ละคน เกือบครึ่งปีถึงได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ขณะที่เด็กบางคนได้เรียนดนตรีต่อ แต่บางคนก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
"ดนตรีก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาค้นหาความสามารถของเด็ก และเป็นเครื่องมือกระตุ้นพัฒนาการทุกอย่างของเด็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าดนตรีจะเป็นคำตอบสำหรับทุกคน จะมีเด็กบางคนที่ดนตรีไปกระตุ้นในจุดที่เป็นความสามารถของเขา ส่วนดอกผลจะไปสู่ทิศทางใด ต้องขึ้นอยู่กับตัวตนของเขาแล้ว ซึ่งคนอื่นก็อาจจะค้นพบด้วยเครื่องมืออื่น"
"จากสิ่งที่พบเห็น ไม่เพียงเป็นเรื่องของหลักการ ประสบการณ์ และผลสัมฤทธิ์เท่านั้น แต่ในความรู้นี้ มี 'ใจ' ของคนที่เกี่ยวข้องทุกคนร่วมด้วย ถ้าหายไปก็เสียดาย จึงอยากบันทึกไว้ เพราะองค์ความรู้นี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นขององค์ความรู้ของการทำดนตรีมาใช้กับเด็กในเงื่อนไขขององค์กรเล็กๆ ภายใต้ความรักของครูและพ่อ-แม่ ที่ทุ่มเทให้กับเด็กๆ แล้วเผยแพร่ความรู้นี้ออกไปในทุกภาคส่วน" ไหมลี ย้ำถึงความตั้งใจ และดีใจที่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าว เพราะโดยส่วนตัวเธอได้สัมผัสพลังดนตรีที่ว่านั้นมาแล้ว
สอดคล้องกับครูนิ่ม ที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
"เราค้นพบแล้วว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เด็กๆ จะต่อยอดต่อไปได้ในอนาคต เพราะเด็กออทิสติกจำนวนมากที่ไปเรียนต่อทางเรื่องดนตรี มีอยู่หลายมหาวิทยาลัย สำหรับรายได้จากการจำหน่ายหนังสือ เราจะนำไปต่อยอดทางด้านดนตรีให้กับเด็กๆ เพราะดูแล้วเขาน่าจะมีศักยภาพเพื่อให้เขามีพื้นฐานทางดนตรีต่อไป อย่างน้อยในการไปเรียนต่อองค์กรอื่นภายนอก ครูจะสอนเขาได้ง่ายขึ้น" ครูนิ่มกล่าว
ในวันเปิดตัวหนังสือไม่มีครูนัชอยู่ในงาน เพราะปฏิบัติหน้าที่ครูสอนอยู่ที่บ้านอุ่นรัก ซึ่งทุกคนเข้าใจ เพราะมากกว่านั้นคือ สิ่งที่ครูนัชและคณะครูบ้านอุ่นรัก ร่วมหลอมพลังกัน วันนี้ได้ส่งแรงกระเพื่อมสู่สังคมระดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว.
ที่มา: หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ โดย ภาวินี อินเทพ
ภาพประกอบจาก มหาวิทยาลัยรังสิต