ถอดบทเรียนธุรกิจเพื่อสังคม
การ“ให้”ที่ยิ่งใหญ่จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้ร่วมกับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จัดสัมมนาใหญ่หัวข้อ “ธุรกิจเพื่อสังคม:พลังขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อระดมความคิดเห็นจากภาคธุรกิจเอกชนจาก 6 องค์กรหลัก ร่วมเสนอแนวทางเข้าสู่การขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ
ในการสัมมนาดังกล่าว ยังได้เชิญตัวแทนภาคธุรกิจที่เป็นต้นแบบพันธกิจธุรกิจเพื่อสังคมมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนารับฟังด้วย “วีระเดช สมบูรณ์เวชชการ”ประธานและกรรมการผู้จัดการในกลุ่มวีพีพีโปรเกรสซิฟ จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจกาแฟในชื่อคุ้นเคยของคอกาแฟว่า “ดิโอโร่”คือหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจเพื่อสังคมที่มาร่วมเล่าประสบการณ์การครั้งนี้
สำหรับกลุ่มวีพีพี กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูกกาแฟ คั่วกาแฟ และการจำหน่ายและส่งออก ซึ่ง วีระเดช เล่าว่า ทางบริษัทฯ ได้เข้าไปส่งเสริมการปลูกกาแฟอราบิก้าให้กับชาวไทยภูเขาที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2546 โดยเป็นความร่วมมือของทางบริษัทฯ กับสำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.เชียงใหม่ ที่นำที่ดินมาจัดสรรให้ชาวเขาสำหรับทำการเกษตร
ประธานและกรรมการผู้จัดการในกลุ่มวีพีพีโปรเกรสซิฟฯ กล่าวถึงวิธีการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ทางบริษัทจะให้คำแนะนำความรู้ต่างๆ แก่ชาวไทยภูเขาตั้งแต่การปลูกจนถึงการดูแลผลผลิต โดยจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกกาแฟ สร้างเครือข่ายในการทำงาน อาทิ หน่วยงานราชการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธกส.) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการประกันราคาขั้นต่ำสำหรับผลผลิตที่ออกมา ซึ่งวิธีการดังกล่าวทำให้เกษตรกร อ.อมก๋อยมีรายได้ที่ยั่งยืน นำไปสู่การพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง
“ในการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกาแฟ จะมีการประชุมเพื่อชี้แจงเกษตรกรผู้สนใจ เพื่อให้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งคณะกรรมการ และยื่นจดทะเบียน เพื่อขออนุมัติเงินกู้จาก ธกส.เพราะในช่วง 3 ปีแรกที่เราเริ่มให้ชาวเขาปลูกกาแฟ เราประสบปัญหาเรื่องเกษตรกรไม่มีเงินทุน และบริษัทไม่มีแนวคิดว่าจะต้องเอาทุนไปให้เขา เราเลยต้องให้ตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันเรามีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 28 กลุ่ม มีสมาชิก 360 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรกว่า 1 พันไร่”วีระเดชกล่าว
สำหรับข้อเสนอแนะที่ วีระเดช มีนั้น เขาเห็นว่าภาครัฐควรให้ความใส่ใจในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ให้มากขึ้น และกำหนดแผนพัฒนาของแต่ละหน่วยงานของภาครัฐให้สอดคล้องกัน เพื่อหนุนให้ธุรกิจเพื่อสังคมเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง
“นาวี นาควัชระ”กรรมการผู้จัดการ บริษัทเครือข่ายนวัตกรรมชาวบ้าน จำกัด มาพร้อมประสบการณ์ที่เขาได้เข้าไปคลุกคลีทำงานกับชาวบ้าน โดยนาวีเล่าย้อนว่า ก่อนที่จะมาเปิดบริษัท นวัตกรรมชาวบ้านฯ นั้น เขาเริ่มต้นจากการเป็นอาสาสมัครด้านไอซีที ถอดความรู้ภูมิปัญหาให้กับชาวบ้านในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับชาวบ้านจึงได้จัดตั้งเป็นเครือข่ายวัตกรรมคนรักชาวบ้าน โดยได้รับการสนับสนุนจากเชนจ์ฟิวชั่น ต่อมาจึงได้ตั้งเป็นบริษัท นวัตกรรมชาวบ้านฯ
“นวัตกรรมชาวบ้านก็คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยีชาวบ้านราคาประหยัดที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน โดยเราจะสนับสนุนให้เกษตรกรใช้พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ปุ๋ยอินทรีย์ และสารกำจัดศัตรูพืชชีวภาพ จัดการฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยจะมีเงินกู้รายย่อยเพื่อพัฒนาเกษตรประณีตในพื้นที่ 1 งาน จากพื้นที่ว่างเปล่าทำให้กลายเป็นพื้นที่ทางการเกษตร และผลผลิตที่ออกมาต้องผลิตตามความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ซึ่งวิธีการดังกล่าวทำให้เกษตรกรเลิกจนได้”
นาวี เสนอแนะแนวทางการสนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคมว่า ควรมีการสนับสนุนกองทุนเพื่อผู้ประกอบการทางสังคม ให้การสนับสนุนด้านการฝึกอบรม และการพัฒนาทักษะบุคลากร และการเป็นพี่เลี้ยงทางธุรกิจ
“ธุรกิจเพื่อสังคมไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจแบบให้เปล่าเสมอไป เราไม่จำเป็นต้องให้เงินเขาเสมอ แต่เราสามารถสนับสนุนการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรให้กับชาวบ้านได้ ซึ่งการทำธุรกิจต้องไม่เอารัดเอาเปรียบ แต่ธุรกิจเพื่อสังคมต้องทำให้เกิดความพอเพียง อยู่ได้และอยู่ดีในชุมชนของตนเอง”นาวีสรุปถึงธุรกิจเพื่อสังคมได้อย่างชัดเจน
จากนั้น “นิพนธ์ มโนทัศน์”จากร้านผ้าไหมบ้านครัว ได้มาเล่าประสบการณ์ของชุมชนบ้านครัว ที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งอย่างมาก โดย นิพนธ์ ได้เล่าถึงความเป็นมาของชุมชนบ้านครัวว่า พื้นเพของชาวบ้านในชุมชนบ้านครัวเหนือ เป็น ชาวจาม โดยมาตั้งถิ่นฐานยู่ที่ริมคลองแสนแสบ อาชีพดั้งเดิมของชาวจาม คือการทำประมง และการทอผ้าไหมพื้นเมือง ซึ่งการทอผ้าไหมของชุมชนสืบทอดมาหลายชั่วคนนับตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคแรกจะทอเป็นผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง
ต่อมา จิม ทอมป์สัน ได้เข้ามาประกอบธุรกิจผ้าไหมส่งออกได้เข้ามาซื้อผ้าจากชุมชนบ้านครัว และเข้ามาพัฒนาปรับปรุงเรื่องการออกแบบ ลวดลายสีสัน และใช้ฝีมือการทอจากชาวชุมชนเป็นหลัก ซึ่งจุดเด่นของผ้าไหมอยู่ที่เส้นไหมเนื้อแน่นละเอียด สีสวยสดใช้งานคงทน จนได้รับการคัดเลือกให้ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของนักแสดง ในภาพยนต์เรื่อง “เบนเฮอร์” จึงทำให้อาชีพทอผ้าไหมในสมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ระยะหลังชาวบ้านครัวเริ่มยึดอาชีพทอผ้าน้อยลงเรื่อยๆ
“สิ่งที่จิม ทอมป์สัน ให้กับชุมชนชาวบ้านครัว คือ การเข้ามาช่วยดูแลเรื่องการออกแบบ ลวดลาย และเรื่องการตลาด นอกจากนี้บ้านไหนที่ทอผ้าส่งให้กับจิม ทอมป์สัน ก็จะมีการแบ่งหุ้นของบริษัทให้กับชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านที่ทอผ้าเป็นเจ้าของบริษัทด้วยทุกคน และก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ซึ่งทำให้อาชีพทอผ้าไหมของชุมชนบ้านครัวดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน”
ก่อนจบ นิพนธ์ ฝากรัฐบาลว่าขอให้เร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวให้ดีขึ้น เพื่อช่วยผู้ผลิตผ้าไหมให้สามารถดำเนินุรกิจได้ต่อไปด้วย
ด้าน “อมรา พวงชมภู”กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแอนดส จำกัด เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า “แตงโม”ที่คนไทยรู้จักกันดี นำเอาภาพของพี่น้องคนไทยในหมู่บ้านบอเกาะ ต.สากอ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส มาเปิดให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับชมและรับฟัง พร้อมกับเล่าเรื่องราวของพี่น้องในพื้นที่ดังกล่าว ที่ขอเดินทางเข้ามาใน กทม.เพื่อลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงหายจากพระอาการประชวรที่ รพ.ศิริราช
“มีคนมาสารภาพว่า เขาตั้งใจว่าจะมาเขียนขอถนนจากในหลวง แต่เมื่อมาถึงแล้วเปลี่ยนใจ เพราะเขาคิดว่าความไม่สบายทางกายหมอรักษาได้ แต่ความไม่สบายทางใจจะยิ่งทำให้พระองค์เป็นทุกข์ และเราดูแลไม่ได้”
สำหรับการทำธุรกิจเพื่อสังคมของ บริษัท สยามแอนดสฯ นั้น อมรา ได้ให้ผู้หญิงมุสลิมที่มีพื้นฐานการเย็บปักถักร้อยมาเย็บผ้าในโรงงานแตงโมระยะหนึ่ง ซึ่งต่อมาหญิงเหล่านี้ได้กลับไปตั้งโรงงานเล็กๆ ในหมู่บ้าน โดยได้รับบริจาคที่ดิน ส่วนบริษัท สยามแฮนด์สฯ สนับสนุนเครื่องมือและจักรเย็บผ้ากลายเป็นแหล่งรายได้ของคนในชุมชน และธุรกิจเล็กๆ ในหมู่บ้านทำให้พวกเขาสร้างถนนกันเองได้ โดยไม่ต้องขอจาก “พ่อ”
“พูนธนา มุสิกบุญเลิศ”ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ เปิดฉากเล่าถึงการก่อตั้งสถานศึกษาปัญญาภิวัฒน์ อันประกอบด้วย สถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ ศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ และโรงเรียนเครือข่ายทวิภาคีปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งผลิตบุคลากรป้อนให้กับร้านสะดวกซื้อยอดนิยม 7-11 โดยทางบริษัทฯ เห็นว่า การศึกษาบ้านเรา รับเด็กจากสถานศึกษา แต่บริษัทต้องเสียเงินฝึกอบรมบุคลากรเหล่านี้อีกนานมาก
“เราจึงคิดทำหลักสูตร โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจัดการเรียนการสอนระดับ ปวช. และ ปวส.ในสาขาธุรกิจค้าปลีก สาขาบัญชี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขา Logistic ฯลฯ เพื่อผลิตบุคลากรที่พร้อมเริ่มงานกับหน่วยงานในเครือเจริญโภคภัณฑ์ และเราต้องการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้ด้านการบริหาร การจัดการต่างๆ ให้แต่ชุมชนและสังคม ธุรกิจขนาดเล็ก และสถาบันการศึกษา ในรูปแบบการสัมมนา และการจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้น อีกทั้งเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาล ในระดับอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพด้วย”พูนธนากล่าว
แนวทางการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษาปัญญาภิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ เปิดเผยว่า เด็กที่เรียนจะมีหลักประกันการทำงานหลังเรียนจบ โดยในการเรียนนั้นจะมเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และมีรายได้ระหว่างเรียน โดยเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ในภาคธุรกิจ และมีระบบพี่เลี้ยงในการฝึกงาน ปัจจุบันมีศูนย์การเรียนปริญญาตรีในต่างจังหวัดที่เด็กสามารถเข้าเรียนได้ นอกจากนี้ยังให้ครู อาจารย์เข้าไปเรียนรู้การบริหารงานที่ร้าน 7-11 ที่จะทำให้เห็นกระบวนการการทำธุรกิจแบบครบวงจรและสามารถนำไปสอนเด็กๆ ได้
“เราสอนให้เขาได้เรียนสิ่งที่รู้สิ่งที่สามารถนำไปทำมาหากินได้ และเป็นความรู้ที่รู้จริง ไม่มีอะไรรุ่งริง สุดท้ายผลตอบกลับมาที่สังคม เพราะสังคมจะมีบุคลากรที่มีงานทำ”พูนธนากล่าว
นอกจากนี้ “กำพล นามพูน” ผู้ก่อตั้งโครงการแม่กลองแคมป์ ที่มาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานธุรกิจเพื่อสังคม ที่เขาบอกว่าการทำธุรกิจเพื่อสังคมที่ผ่านมาของโครงการแม่กลองแคมป์นั้น สิ่งสำคัญคือการได้พบกับผู้คนดีๆ และการทำกิจกรรมต่างๆ นั้น มุ่งเน้นที่การสร้างเครือข่าย ให้หน่วยงานต่างๆ ได้มาทำงานร่วมกัน ที่สำคัญพยายามให้ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มเพื่อบริหารทรัพยากรของชุมชนให้ชาวบ้านได้มีอยู่มีกิน
การดำเนินธุรกิจโดยไม่ทอดทิ้งสังคม น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยปฏิรูปประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้าด้วยความปรองดองและสงบสุขอีกครั้ง
ที่มา :ทีม content www.thaihealth.or.th
Update:12-07-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : คีตฌาณ์ ลอยเลิศ