ชู 3 ข้อกันภาวะหมดไฟ ในวัยทำงาน

ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์

แฟ้มภาพ

                 ภาวะหมดไฟในการทำงาน เกิดได้กับทั้งผู้ที่มีอายุงานมากและเพิ่งเริ่มทำงาน เนื่องจากมีความกดดันที่แตกต่างกันออกไป อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต แนะแก้ปัญหาจากต้นเหตุ พร้อมส่งเสริมพลังบวกซึ่งกันและกัน

                 นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ภาวะหมดไฟ หรือ Burn out เกิดได้ในทุกเพศ ทุกวัย ส่วนภาวะหมดไฟในวัยทำงานที่มีความเครียดค่อนข้างมาก มีความกดดันจากการทำงาน เช่น งานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย งานยังไม่สำเร็จ รวมถึงเมื่องานเยอะมากเราก็ไม่สามารถเรียงลำดับเวลาได้ ทำให้เรารู้สึกไม่ไหวแล้ว เหนื่อยล้า สูญเสียพลังงานในการทำงาน มองว่าการทำงานอะไรก็แย่ไปหมด ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกไม่อยากคุยกับใครในที่ทำงานเลย อย่างไรก็ตาม ภาวะหมดไฟเกิดได้กับทั้งผู้ที่มีอายุงานมากและเพิ่งเริ่มทำงาน เนื่องจากมีความกดดันที่แตกต่างกันออกไป

                 “หลายคนมักจะรู้สึกว่าตนเองมีงานหนักมาก ถูกให้รับผิดชอบงานคนเดียว ไม่ได้รับความเป็นธรรม ระบบการบริหารงานในที่ทำงานอาจเป็นแบบทำดีไม่ได้ดี ซึ่งทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการไปต่อ ด้วยหลายคนเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการลาออก แต่นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาจากต้นเหตุ ส่วนการปรับโครงสร้างเงินเดือนขึ้นนั้นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาจากต้นเหตุที่แท้จริง เพราะด้วยภาระงานที่มากขึ้นก็จะสร้างแรงกดดันและอีกรูปแบบด้วย ดังนั้น เราต้องไปดูปัญหาในองค์กรที่เกิดขึ้น” นพ.ธิติกล่าว

                 นพ.ธิติ กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้เข้าไปช่วยดูแลภาวะหมดไฟผ่านการคัดกรองเบื้องต้น และ Mental Health Check-In ในลักษณะแบบทดสอบที่สามารถกดเข้าไปทำแบบทดสอบได้ในเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต

                 นอกจากนั้น ก็มีการทำสำรวจสุขภาพจิตของคนไทยในลักษณะการสัมภาษณ์ด้วย ทั้งหมดนี้ก็จะทำเป็นข้อมูลอัพเดตเป็นระยะ ทั้งนี้ ภาวะหมดไฟส่งผลกระทบใน 3 ด้าน คือ 1.ผลต่องานที่ประสิทธิภาพจะแย่ลง 2.สุขภาพร่างกายถดถอย เหนื่อยล้า เพลีย นอนไม่หลับ และ 3.สุขภาพจิตใจที่ห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ ไม่อยากทำงาน ซึ่งถ้าเหตุเหล่านี้เกิดนานขึ้นก็จะเกิดภาวะอื่นตามมา ขึ้นอยู่กับการรับมือของแต่ละคน เช่น โรคซึมเศร้า หรือที่มากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ภาวะหมดไฟไม่จำเป็นจะต้องใช้ยาในการรักษา ยกเว้นบางรายที่มีภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพเพิ่มเติม เช่น นอนไม่หลับ ก็จะต้องพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาเลยจ่ายยาให้

                 เมื่อถามว่าจะต้องออกแบบองค์กรอย่างไรเพื่อให้สุขภาพจิตแข็งแรงคู่ไปกับงานที่ทำได้ นพ.ธิติ กล่าวว่า พื้นฐานที่ดีคือ ธรรมาภิบาล (Good governance) ซึ่งสามารถป้องกันภาวะสุขภาพจิตได้ ซึ่งสามารถจัดการด้วย 1.การบริหารคนให้เหมาะกับงาน ไม่ให้งานไปหนักอยู่กับคนใดคนหนึ่ง 2.การติดตามงาน คนในองค์กรจะต้องสามารถพูดคุยกันได้ รับฟังซึ่งกันและกัน (Two way communication) 3.การจัดให้มีผู้ร่วมงานหลายคน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและระบายสิ่งต่างๆ ออกมาบ้าง ช่วยส่งเสริมพลังบวกซึ่งกันและกัน ซึ่งการคิดบวกจะเป็นตัวช่วยในการป้องกันภาวะหมดไฟได้ดี

Shares:
QR Code :
QR Code