คำนวณภาษีบุหรี่ใหม่ ทำสุขภาพเสื่อมจ่ายหนัก
ถือเป็นครั้งแรก ที่การคำนวณภาษี จะไม่มุ่งเน้นแค่หารายได้เข้ารัฐ แต่คำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพของคนไทยด้วย!!
หลังจากการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านสุขภาพ และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ทั้งกรมสรรพสามิต กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำไปสู่ความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน และมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบครั้งใหญ่ของไทย
ปัจจุบัน กระทรวงการคลังยอมรับว่าการจัดเก็บภาษียาสูบ ถือว่ายังมีโครงสร้างที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังมีช่องว่างให้เกิดการหลบเลี่ยงภาษีอยู่ ปัญหาสำคัญ 3 ด้าน คือ 1. การปรับเปลี่ยนสินค้าราคาแพงมาสู่สินค้าราคาถูก 2. ราคานำเข้าลดลงอย่างรวดเร็วจึงทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก และ 3. การลักลอบหนีภาษีของบุหรี่ทั้งของปลอมและจริง
โดยเฉพาะการเก็บภาษีตามมูลค่าราคาหน้าโรงงาน และการเปิดเสรีทางการค้า ทำให้ช่องว่างราคาห่างกันมาก ซึ่งสูญเสียรายได้ไปกว่า 700 ล้านบาทต่อปี และทำให้ผู้บริโภคหันไปสูบบุหรี่ราคาถูกที่นำเข้าแทน เป็นที่น่ากังวลว่าหากปล่อยไว้ จำนวนนักสูบอาจจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ในฐานะผู้สนับสนุนงานด้านวิชาการเพื่อใช้ในการปรับโครงสร้างภาษี กล่าวถึงความร่วมมือที่เกิดขึ้นว่า สืบเนื่องจากสสส. ได้ลงนามความร่วมมือกับ WHO เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ ซึ่งยาสูบเป็นหนึ่งในข้อตกลงนั้น จึงเกิดการทำงานร่วมกัน โดยมี WHO ให้การสนับสนุนด้านวิชาการ เช่น การอบรมเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังเพื่อทำให้เกิดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้างอัตราภาษี ให้ได้ผลลัพธ์คือ ลดการบริโภคยาสูบ โดยที่ยังคงรายได้ภาครัฐไว้จึงเป็นที่มาของการที่หน่วยงานด้านเศรษฐกิจอย่างกระทรวงการคลัง คำนึงถึงตัวชี้วัดด้านสุขภาพ ในการคำนวณการจัดเก็บภาษี
งานวิจัยจากธนาคารโลก ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการขึ้นภาษียาสูบ ว่า ถ้าราคาบุหรี่สูงขึ้น 10% ประเทศที่พัฒนาแล้วจะลดการบริโภคลงอย่างน้อย 4% ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยจะทำให้การสูบบุหรี่ลดลงถึง 8% แน่นอนว่า กลุ่มที่จะเกิดผลมากคือ นักสูบหน้าใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน จะมีอัตราการสูบลดลงแน่นอน
แนวทางการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ. 2509 เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา โดยให้ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่จากจัดเก็บตามมูลค่าจากราคา ณ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นจัดเก็บตามราคาปลีก และเพิ่มอัตราภาษีตามปริมาณต่อมวน ซึ่งแนวทางนี้จะสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น มวนละ 1.50 สตางค์ หรือ 20 บาทต่อซอง ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีบุหรี่ดีขึ้นและป้องกันการลักลอบการขายบุหรี่ผิดกฎหมายได้
ดร.ไอด้า ยูริกลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ยาสูบขององค์การอนามัยโลกซึ่งเป็นตัวแทนเดินทางมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การทำงานด้านการปรับโครงสร้างภาษี อธิบายว่า แนวโน้มการจัดเก็บภาษีของประเทศต่างๆ พบว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะใช้วิธีการเก็บแบบผสมเป็นส่วนใหญ่ พบว่าประเทศสมาชิกของ WHO ที่ใช้การเก็บภาษีระบบผสมมีทั้งสิ้น 48 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป จัดเก็บตามมูลค่า 60 ประเทศ จัดเก็บตามปริมาณ 55 ประเทศ และไม่มีระบบการจัดเก็บภาษี 19 ประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในแถบอาหรับ
โดยมีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทยว่า การปรับโครงสร้างภาษีจะช่วยลดการหลบเลี่ยงภาษีได้ และทำให้รายได้ของกรมสรรพสามิต เป็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งการปรับโครงสร้างภาษีเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลกและไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้การจัดเก็บเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลคือ ลดการบริโภคลงด้วย
สำหรับ 3มาตรการ ที่ถูกนำเสนอครั้งนี้ คือ 1. มาตรการระยะสั้น คือ การเพิ่มอัตราภาษีทั้งระบบ 2. มาตรการระยะกลาง คือ ปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ยกเลิกการขายยาสูบในเขตปลอดภาษีในสนามบิน (ดิวตี้ฟรี) และ 3. มาตรการระยะยาว เพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ให้รู้เท่าทันแผนการตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อสุขภาพคนไทย
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์