กินแล้วจุกแน่นบ่อยเสี่ยงอันตราย

ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข


แพทย์เตือนกลุ่มเสี่ยง กินแล้วจุกแน่นบ่อย”ระวังเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ภัยเงียบคุกคามคุณภาพชีวิตของหญิงวัยกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ในวัยทำงาน


กินแล้วจุกแน่นบ่อยเสี่ยงอันตราย thaihealth


แนะสังเกตอาการจุกแน่นชายโครงขวาและลิ้นปี่บ่อยหลังอาหาร อย่าคิดว่าแค่โรคกระเพาะอาจเป็นสัญญาณเตือนอันตราย ควรรีบพบแพทย์


ปัจจุบันการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการดูแลรักษาไปมากแล้ว จึงแนะประชาชนหรือกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจ เพื่อที่จะได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีหากตรวจพบ


นพ.ทวี รัตนชูเอก แพทย์ทรงคุณวุฒิ หน่วยส่องกล้องทางเดินอาหารศัลยศาสตร์ หัวหน้ากลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยว่า นิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคที่ไม่แสดงอาการใดๆ เกิดขี้นอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว


ในประเทศไทยมีผู้ป่วยร้อยละ 5-10 ของประชากร เป็นโรคที่ป้องกันได้ยาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดนิ่วพบมากใน 4 กลุ่มเสี่ยง4F คือ


1.พบมากในผู้หญิง(Female) มากกว่าเพศชายประมาณ 2-3 เท่า


2. พบมากในวัย 40 ปีขึ้นไป (Forty) หรือวัยกลางคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ


3.พบมากในคนอ้วน(Fatty) การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้มีคอเลสเตอรอลสะสมในถุงน้ำดีมากเกินไป


4.พบมากในผู้ที่มีอาการจุกแน่นบ่อยๆหลังรับประทานอาหารไขมันสูง(Fat Intolerance) และมีอาการปวดท้องบ่อยๆ หลังรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยโรคทาลัสซีเมีย ก็สามารถเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้


นิ่วในถุงน้ำดีหากไม่รีบรักษา จะทำให้นิ่วที่อยู่ในถุงน้ำดี ตกไปในท่อน้ำดี กลายเป็นนิ่วในท่อน้ำดี มีความยุ่งยากแก่ในรักษา และเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต เรามักไม่ใส่ใจไปตรวจ เข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร เมื่อมาพบแพทย์ก็มีอาการรุนแรงแล้ว ทำให้การรักษายุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น

Shares:
QR Code :
QR Code