WHO ชี้ประชากรโลกดื่มน้ำเมา 2,000 ล้านคน

who ชี้ประชากรโลกดื่มน้ำเมา 2,000 ล้านคน คนไทยขึ้นชื่อดื่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 9 เท่าตัว

who ชี้ประชากรโลกดื่มน้ำเมา 2,000 ล้านคน

วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2555) ที่ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายเดเร็ค รูเทอร์ฟอร์ด ( mr. derek rutherford ) ประธานกรรมการเครือข่ายแอลกอฮอล์ระดับโลก (gapa) นายแพทย์อลา อัลแวน ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกด้านโรคไม่ติดต่อและสุขภาพจิต ( dr. ala alwan : assistant director-general non communicable diseases and mental health who) เปิดประชุมนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลก (global alcohol policy conference : gapc) ภายใต้หัวข้อ “จากแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกสู่การปฏิบัติระดับชาติและท้องถิ่น” ซึ่งเป็นการจัดประชุมครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2555 มีนักวิชาการ ตัวแทนภาคประชาชน ภาคสาธารณสุข ภาครัฐ นักรณรงค์ และสื่อมวลชนจาก 59 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมประชุมกว่า 1,200 คน

นายวิทยากล่าวว่า การประชุมครั้งนี้นับเป็นความพยายามครั้งสำคัญ ในการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ ปัญหาการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามแนวทางของแผนยุทธศาสตร์ระดับโลก เพื่อลดปัญหาและอันตรายจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (global strategy to reduce harmful use of alcohol endorsed) หรือที่คนไทยเรียกติดว่า น้ำเมาของทุกประเทศทั่วโลก ให้ลดน้อยลง สร้างสังคมโลกที่ปลอดภัยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุมีประชากรทั่วโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 2,000 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลก เฉลี่ยดื่มคนละ 6.13 ลิตร ซึ่งการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันตรายและเป็นสาเหตุให้เกิดโรคในประชากรทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนามากกว่า 60 โรค เช่น เป็นสาเหตุเกิดโรคตับแข็งสูงถึงร้อยละ 20-50 โรคติดต่อที่สำคัญ เช่น การเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ วัณโรค รวมทั้งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอาทิ เบาหวาน โรคหัวใจ โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้ปีละ 2,500,000 คน

สำหรับไทย พบว่าคนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับที่ 40 ของโลก โดยเฉพาะเหล้ากลั่น ดื่มมากเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 16.2 ล้านคน เฉลี่ยดื่มคนละ 58 ลิตรต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 9 เท่าตัว ซึ่งแอลกอฮอล์เป็นต้นเหตุการณ์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรถึงร้อยละ 90 โดยมีผู้เสียชีวิต 26,000 คนต่อปี ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีประสบการณ์และความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 12 ฉบับ เช่น กฎหมายจำกัดสถานที่-เวลาดื่ม อายุผู้ซื้อ ล่าสุดคือพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และไทยพร้อมร่วมผลักดันให้มีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรม

การประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วยการบรรยายและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ จากวิทยากรที่มีชื่อเสียงระดับโลกทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มีหัวข้อการนำเสนอซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในฐานะเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกตลอดทั้ง 3 วัน ได้แก่ 1. อันตรายที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งตัวผู้ดื่ม เศรษฐกิจ และสังคม ฯลฯ 2. โอกาส ศักยภาพ และความร่วมมือในการจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในด้านต่างๆ เช่น การนำยุทธศาสตร์แอลกอฮอล์ระดับโลกไปปฏิบัติ การผลักดันการจัดการปัญหาการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นนโยบายทางการเมือง บทบาทของภาคประชาสังคมในแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่และระดับชาติ เป็นต้น และ 3. แนวทางการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์ เช่น ปัญหาการดื่มแล้วขับ นโยบายแอลกอฮอล์และการเปิดเสรีของระบบตลาด การรักษาผู้ติดเหล้า การเข้าถึงระบบการบริการด้านสุขภาพ

นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรม 3 รูปแบบ ระหว่างการประชุม ได้แก่ 1. การศึกษาดูงาน การป้องกันและการควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย 6 แห่งคือ1.ชุมชนสันติอโศก เป็นชุมชนปลอดเหล้าและวิถีแนวพุทธ 2.ชุมชน หลังไปรษณีย์สำเหร่ เป็นชุมชนลดเลิกเหล้า คนต้นแบบเลิกเหล้า 3.ตลาดน้ำคลองลัดมะยม รูปแบบที่พ่อค้าแม่ค้ารวมใจปฏิบัติตามกฎหมาย 4. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ศึกษาการบำบัดรักษาผู้ติดสุรา กิจกรรมกลุ่มนิรนาม 5.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศึกษาฐานข้อมูลการเรียนรู้เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด และ6.บริษัทเอเชีย พรีซีชั่น จำกัดบริษัทต้นแบบพนักงานปลอดเหล้า เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งด้านวิชาการและประสบการณ์ในด้านนโยบายแอลกอฮอล์

2.การจัดลานกิจกรรมการแสดงของเยาวชน เช่น ละครต้านเหล้า หมอลำกลอนปลอดเหล้า การจัดแสดงวัฒนธรรมปลอดเหล้า เช่น บุญสงกรานต์ บุญบั้งไฟ งานแข่งเรือ งานลอยกระทง และ 3.การเสวนาของผู้ที่มีประสบการณ์การรณรงค์ทางวัฒนธรรม (culture campaign) ในเรื่องวิธีการรับมือกับทุนอุปถัมภ์ของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความพยายามการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้ยากต่อการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และประการสำคัญจะมีการร่วมประกาศปฏิญญาในการสนับสนุนการนำยุทธศาสตร์โลกในการจัดการปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปสู่ปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

         

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code