Unmasking the Appeal ชูคนรุ่นใหม่รู้เท่าทัน ลับ ลวง พราง ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า

ที่มา: งานประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 23

                    เป็นที่รับรู้กันดีว่า บุหรี่ไฟฟ้าในไทยนั้นผิดกฎหมาย หากข้อเท็จจริงนั้น เรากลับพบว่า ทุกคนสามารถหาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่ “เด็กและเยาวชน”

                    ความน่ากังวลอย่างยิ่งวันนี้คือตัวเลขนักสูบหน้าใหม่บุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังพุ่งสูงขึ้นทุกวัน ได้กลายเป็นภัยสังคมประเด็นใหม่ที่คนทำงานด้านรณรงค์ต้องวิ่งตามกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ทัน

                    ไม่เท่านั้น อีกวิกฤตที่กำลังตามมาอย่างน่าหวาดหวั่น คือไม่เพียงบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นช่องทางในการนำไปสู่การเสพยาเสพติดอื่น ๆ แต่ยังมีรายงานจากองค์การสหประชาชาติ ระบุว่า กลุ่มอาชญากรรมและผู้ค้ายาเสพติดได้ร่วมมือกัน เริ่มมีการนำบุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมยาเสพติดเข้ามาจำหน่ายในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสิงคโปร์พบว่าหนึ่งในสามของบุหรี่ไฟฟ้าที่ยึดได้มีการผสมยาเสพติดด้วย สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งเสพติดทั้งหลายเป็นบ่อนภัยทำลายสุขภาพลูกหลานเราในวันนี้ กำลังคืบคลานเข้าใกล้ตัวเขาไปทุกที

                    สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุผลให้การประชุมวิชาการบุหรี่และสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 23  ปีนี้ จึงพุ่งเป้าไปที่การสกัดเยาวชนไม่ให้เดินเข้าสู่วังวนหนทางมรณะนี้เพิ่มมากขึ้น ภายใต้ประเด็นเรื่องการ “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า: คนรุ่นใหม่รู้เท่าทันกลยุทธ์”  โดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และภาคีเครือข่ายกว่า 23 องค์กร รวมถึง 9 เครือข่ายเยาวชน ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อชักชวนสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน มาร่วมทำความเข้าใจภัยร้ายและกลยุทธ์การตลาดที่พุ่งเป้าเยาวชนของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

                    ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึง อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การควบคุมยาสูบไม่คืบหน้าเท่าที่ควรว่า แม้ในช่วง 32 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ร่วมกับทุกเครือข่ายรณรงค์ควบคุมยาสูบ สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ 48.8% แต่ยังมีผู้สูบบุหรี่อีก 9.8 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ มูลนิธิฯ จึงได้จัดทำโครงการ โรงเรียนปลอดบุหรี่ เยาวชน Gen Z และอปท.ปลอดบุหรี่ ผลักดันให้ขึ้นภาษีสรรพสามิต  ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีภาพและคำแนะนำ

                    เพราะขณะเดียวกัน “กลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบ” มีความพยายามไม่ลดละในการแทรกแซงนโยบายอยู่เสมอ

                    ปัจจุบันธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าใช้กลยุทธ์มุ่งเป้าไปที่เยาวชนอย่างชัดเจน ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีรูปลักษณ์ดึงดูดใจ เช่น ทำเป็นรูปทรงของเล่น ตุ๊กตา หรืออุปกรณ์การเรียนการสอน เพื่อหลีกเลี่ยงการจับตาจากผู้ปกครองและครู นอกจากนี้ ยังผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่มีรสชาติหลากหลายมากกว่า 16,000 รสชาติ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น โดยอาศัยความอยากรู้อยากเห็น อยากลอง และการเลียนแบบของเยาวชน

                    “ประเทศต่าง ๆ รายงานตรงกันว่า การแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการปฏิบัติตาม มาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC)  จึงกำหนดให้ประเทศภาคี ป้องกันการแทรกแซงนโยบายโดยบริษัทบุหรี่หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการห้ามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ในคณะกรรมการที่พิจารณาหรือกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ แต่ในประเทศไทย ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองเสนอให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่ เข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญ และที่ปรึกษากรรมาธิการพิจารณานโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้รายงานของคณะกรรมาธิการฯ ขาดความน่าเชื่อถือ จึงขอให้สภาฯ ได้มีการออกข้อบังคับไม่ให้มีการตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้ามาเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณานโยบายควบคุมยาสูบอีกในอนาคต”

                    ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ยังกล่าวต่อว่า งานเสวนาในครั้งนี้ ถือเป็นการชวนทุกคนมาร่วมกัน “กระชากหน้ากาก” ที่ธุรกิจควันร้ายพยายามปกปิดไว้ ภายใต้คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก ปี 2568 “Unmasking the Appeal” หรือ “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า”

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.

                    นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้กล่าวถึงภัยบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบที่ร้ายแรงและน่ากังวลต่อสุขภาพว่า ทำให้อายุเฉลี่ยของคนลดลง 10 ปี และอายุเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีลดลง 8 ปี ผลที่ตามมาคือความพิการ การเป็นมะเร็ง หรือโรคปอดเรื้อรังที่อาจทำให้ต้องติดเตียงก่อนวัย ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ในระยะยาวสำหรับสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย

                    “นิโคตินไม่ว่าจะอยู่ในบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาให้ดูน่าสนใจ ล้วนเป็นสารเสพติดที่รุนแรง เมื่อผู้ใดลองสูบแล้วมักจะติดอยู่ในวงจรการเสพ เนื่องจากนิโคตินมีคุณสมบัติที่ทำให้สมองต้องการใช้ตลอดเวลา และจะลงโทษหากไม่ได้ใช้ ผู้ที่ลองสูบถึง 70% จะเริ่มเลิกไม่ได้ และชีวิตจะสูญเสียเสรีภาพในการตัดสินใจ”

                    ผู้จัดการ สสส. เผยต่อว่า จากข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปี 2567 สำรวจโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สสส. ได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1-ม.6 รวม 124,606 คน จากโรงเรียน 1,699 แห่ง ใน 30 เขตพื้นที่การศึกษา พบนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า 24.7% คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 22.01% และอาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ 20.2% สะท้อนว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

                    ส่วนแนวทางที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน คือการเปลี่ยนจากทัศนคติแบบ “ห้ามใช้” สู่การที่เด็กและเยาวชนรู้สึก “ไม่อยากใช้” ด้วยตนเอง ผ่าน 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาองค์ความรู้ สร้างการรับรู้ถึงพิษภัย เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมาย พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย และยืนยันนโยบายห้ามนำเข้า-จำหน่ายอย่างต่อเนื่อง

                    สำหรับ สสส. เชื่อมั่นว่าการระดมกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมมือกัน ทั้งการสื่อสารและรวมพลังจากเครือข่ายนักศึกษา คนรุ่นใหม่ นักวิชาการ และภาครัฐ เพื่อร่วมวิเคราะห์ยุทธศาสตร์และจัดการกับปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป  ในการประชุมครั้งนี้ ทาง สสส. จึงได้มาร่วมสานพลังกับทุกภาคส่วนที่เป็นเครือข่ายเพื่อรณรงค์เรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

                    เพราะสุดท้ายแล้ว การปกป้องอนาคตของเด็กไทยไม่ใช่แค่หน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน หรือชุมชน ที่จะกลายเป็นเกราะป้องกันให้เยาวชนเติบโตในสังคมที่ปลอดภัยจากควันร้าย ทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง

                    “สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะทำ คือการทำให้เยาวชนรู้เท่าทันและช่วยกัน “กระชากหน้ากาก” ของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า”

                    ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า อุตสาหกรรมยาสูบมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีการตลาดที่พุ่งเป้าไปที่เยาวชน โดยใช้รูปลักษณ์และรสชาติที่น่าดึงดูดใจ และสารหลักที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้าก็คือ นิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดที่รุนแรง และยังสามารถใส่สารอื่น ๆ รวมถึงยาเสพติดลงไปได้อีกด้วย ทางสมาพันธ์จึงเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการตลาดบนช่องทางออนไลน์ เพราะแม้ภาคประชาชนจะสามารถลดความต้องการ (Demand) ได้ แต่ไม่มีอำนาจในการลดอุปทาน (Supply)

                    ในงานประชุมวิชาการครั้งนี้ ยังมีเยาวชนจาก 12 องค์กร ได้เรียกร้อง 4 ข้อหลัก ได้แก่ 1) เสริมพลังการสื่อสารของเยาวชน 2) มีส่วนร่วมในเชิงนโยบายและกฎหมาย 3) เฝ้าระวังและจัดการธุรกิจยาสูบในสื่อออนไลน์ และ 4) สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชน

                    ข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นอีกบทสรุปจากการที่พวกเขาตระหนักว่า บทบาทของเยาวชนไม่ใช่อนาคตของชาติ หรือเป็นเพียงผู้รับผลจากนโยบายเพียงอย่างเดียว หากแต่พวกเขายังคือพลังสำคัญของวันนี้ ที่จะร่วมเป็นผู้กำหนดทิศทางร่วมออกแบบ ผลักดันการสร้างสุขภาพ เพื่ออนาคตของประเทศไทยที่ปราศจากภัยคุกคามจากบุหรี่ไฟฟ้า

Shares:
QR Code :
QR Code