“Happy Workplace” ปลดล็อคทุกปัญหางานดิจิทัล 4.0
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจาดแฟ้มภาพ
โลกที่กำลังเคลื่อนตัวสู่ยุค "ดิจิทัล 4.0" จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งจะกลายเป็นยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำงาน โดยเฉพาะระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ "หุ่นยนต์" เข้ามาแทนที่ "คน" ตามสายพานการผลิต
กระทั่งการใช้อินเทอร์เน็ตเข้าควบคุมทุกกระบวนการผลิต กลายเป็นความท้าทายของสังคมไทย ที่ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนไปสู่เทคโนโลยีและความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศให้ยืนอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอีกด้าน ที่กำลังก้าวไปสู่ "สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์" และ "สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด" ในระยะเวลาไม่ถึง 15 ปี ซึ่งคนรุ่นใหม่จะกลายเป็นเสาหลักในการดูแลสังคมประชากรสูงอายุที่มีมากถึงร้อยละ 30 ฉะนั้น จำเป็นต้องพัฒนาตัวให้กลายเป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพและศักยภาพสูง
ในเรื่องนี้ นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แสดงทัศนะว่า ความท้าทายของยุคดิจิทัล 4.0 สร้างแรงกดดันไม่น้อยให้แรงงานรุ่นใหม่ในปัจจุบัน เพราะจำเป็นต้องมีทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการโดยเฉพาะด้านไอที และยังต้องพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นทุนมนุษย์ที่สามารถทำงานได้หลากหลายหน้าที่ในคนเดียวหรือมัลติฟังก์ชัน ซึ่งแท้จริงเป็นคุณสมบัติของแรงงานในอนาคตยุค 2020 หรือในอีก 4-5 ปี ข้างหน้าด้วยซ้ำ แต่ระบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรวมถึงองค์กรไม่สามารถรอได้ เนื่องจากจะไม่ทันการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และผลที่ตามมาคือ "ความทุกข์" ที่เกิดขึ้นในระบบการทำงาน ทั้งคนทำงานไม่มีความสุข องค์กรก็ไร้สุข
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า ดังนั้น สิ่งสำคัญและอาจกลายเป็นกุญแจไขทุกปัญหา ช่วยให้คนทำงานในยุคดิจิทัล 4.0 สามารถยืนหยัดท่ามกลางความท้าทายในการแปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล คือแนวคิด "องค์กรสุขภาวะ" หรือ "Happy Workplace" ที่ สสส.กับภาคีเครือข่ายหว่านเมล็ดปลูกจนหยั่งรากลึกในสังคมไทยมานานนับ 10 ปี กับการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในที่ทำงาน ผ่านเครื่องมือหลากหลายที่พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ความสุข 8 ประการ (Happy 8) คู่มือวัดความสุขด้วยตัวเอง (Happinometer) ดัชนีสุขภาวะองค์กร (MapHR) เครื่องมือประเมินตัวเองและวัดผลการพัฒนาองค์กรเพื่อให้เกิดความสุขใน 10 มิติ (Workplace Index) และ เครื่องมือรักษาสมดุลความสุขภายในองค์กร (Holestic Enterprise Happiness Approach : HeHa) เป็นต้น
เพราะความเชื่อที่ว่า การทำงานอย่างมีความสุขในแบบ Happy Workplace มีคุณประโยชน์หลากหลาย ทั้งส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ยังเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในองค์กร และเมื่อองค์กรดูแลคนทำงานซึ่งก็คือทุนมนุษย์ที่สำคัญ ขณะที่การดูแลนั้นรวมไปถึงครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องของคนทำงาน ย่อมส่งผลต่อการลดรายจ่ายทางสุขภาพในภาพรวม และเกิดเป็นผลดีต่อการสร้างสังคมสุขภาวะของประเทศในระยะยาว โดยแนวคิดดังกล่าว นพ.ชาญวิทย์ เผยว่า มาจากการน้อมนำเอาหลัก "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปรับประยุกต์ใช้ตลอดการทำงานเพื่อสร้างสุขภาวะให้องค์กร
"Happy Workplace จริง ๆ มาจากแนวคิดของ ในหลวง รัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ไม่สุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่งแต่เน้นเรื่องความพอดี เช่นเดียวกับ Happy Workplace ที่เน้นการดูแลพนักงานในทุกมิติ โดยหน่วยงานที่นำตรงนี้ไปทำเห็นชัดเจนผลที่สุดคือ กรมประชาสัมพันธ์ หรือแม้แต่ บริษัท ไลอ้อน และ บาธรูม ดีไซน์ ภายใต้แนวคิดการบริหารจัดการตัวเองให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งหลักการสร้างสุขภาวะองค์กรจะสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่เอาแนวคิดของในหลวงมาปรับประยุกต์ใช้ในแบบสมเหตุสมผล" ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. ระบุ
ส่วนเคล็ดลับการนำแนวคิด Happy Workplace มาสร้างที่ทำงานให้กลายเป็นองค์กรสุขภาวะจนประสบผลนั้น นพ.ชาญวิทย์ บอกว่า ให้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อน Happy Workplace ซึ่งไม่ใช่การจัดกิจกรรมมากมายในบริษัท หรือให้เงินเยอะๆ หากแต่ละองค์กรต้องค้นหาวิธีบริหารจัดการตัวเอง รวมถึงสิ่งแวดล้อมรอบองค์กร แต่เป้าหมายสุดท้ายคือความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งเห็นผลชัดเจนว่าองค์กรที่ทำ Happy Workplace ส่วนมากจะมีแนวคิดเปลี่ยนไป ไม่ได้แสวงหากำไรเป็นที่ตั้ง แต่มองถึงระยะยาวว่ากำไรจำนวนมากไม่ตอบโจทย์ แต่กำไรเพียงเท่านี้ต่อปีจะทำให้เติบโตอย่างยั่งยืน คนเก่ง คนดี ไม่หนีหายจากองค์กร ซึ่งช่วยให้การพัฒนาองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่นรวดเร็ว
ล่าสุด ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมนำเอาแนวคิด Happy Workplace ฝังในระบบการทำงานของคนสาธารณสุข ผ่านแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ของกระทรวง หลังพิสูจน์ชัดว่าช่วยให้บุคคลกรและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมหิดลทำงานอย่างมีความสุข ผลสัมฤทธิ์ของงานดีขึ้น หลังจากนำแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้ในองค์กร ขณะดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัย
"…คนเราถ้ามีอนามัยแข็งแรง มีจิตใจร่าเริง ก็สามารถที่จะทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูง ถ้าหากว่าทำงานเคร่งเครียดไม่มีความหย่อนใจบ้าง หรือไม่มีการปฏิบัติเล่นกีฬาก็จะไม่สามารถที่จะทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงและมีผลดีต่อส่วนรวม…" พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสสมุหราชองครักษ์ นำข้าราชการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกรมตำรวจ เฝ้าฯ น้อมเกล้าฯ ถวายเรือใบ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ 26 สิงหาคม 2530.