CHANGE
เปลี่ยนการเรียน-สอน เพื่อสร้างคนคุณภาพ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประสบความสำเร็จจนได้ตำแหน่งสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ด้วยนโยบายการหาเสียงที่ชูประเด็นการเปลี่ยนแปลง หรือ CHANGE ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจทางซีกโลกตะวันออกอย่างญี่ปุ่น ก็ไม่น้อยหน้ากับคำว่า CHANGE เพราะซีรีส์ทางทีวีของเขาฮิตติดตลาดคนดูโทรทัศน์ไปทั่วโลกไม่แพ้หนัง “โอชิน” ในอดีตจะเป็นความบังเอิญหรือจงใจก็ตามทีกับคำว่า CHANGE ของประเทศต่างๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั่วโลกตระหนักถึงความจำเป็นของการ เปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับกับสถานการณ์ต่างๆที่ไม่หยุดนิ่ง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคม การเมือง หรือเศรษฐกิจ ระบบโครงสร้างการคิด การทำงาน การดำรงชีวิต หรืออะไรก็ตาม ทุกคนไม่ว่าอยู่บนซีกโลกใด ต่างเห็นสอดคล้องกันว่า หากไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวเองและประเทศชาติอาจจะไม่รอด หรือค่อยๆเสื่อมลงไปในที่สุด
โชคดีของประเทศไทยเหมือนกัน ที่มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “เครือข่ายสถาบันทางปัญญา” เล็งเห็นปัญหาของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไทยว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวให้พ้นวิกฤตการณ์อันไม่พึงปรารถนา หรืออย่างน้อยก็ป้องกันมิให้สังคมไทยต้องประสบกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเฉกเช่นในปัจจุบัน
เท่าที่ติดตามการเคลื่อนไหวของเครือข่ายสถาบันทางปัญญา ซึ่งชูนโยบาย “ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย” โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาอาชีพต่างๆมากมาย และเป็นเสมือนผู้นำองค์กรและสถาบันต่างๆ ในบ้านเรานั้น มีรายงานข่าวแจ้งว่า ท่านทั้งหลายที่เปรียบเสมือน “สมอง” หรือ “คนระดับหัวกะทิ” ของชาติมีความตั้งใจ ขะมักเขม้น กระตือรือร้นกันอย่างมากทีเดียวที่จะหาขับเคลื่อน ผลักดัน ปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเป็นประเทศน่าอยู่ที่สุดในโลก
ในฐานะคนไทยเราก็ต้อง “เชียร์” ให้ท่านทั้งหลายที่กำลังร่วมมือร่วมใจระดมสมองและสรรพกำลังเพื่อการ CHANGE มองหาสูตรสำเร็จ หรือ แนวทางที่สามารถปฏิบัติให้ได้เป็นจริง เพื่อเราจะหนีให้พ้นจากข้อสันนิษฐานทั้งหลายที่ล้วนแต่เป็นฝันร้ายอย่าง กลียุค มิคสัญญี ฯลฯ
CHANGE ของเครือข่ายสถาบันทางปัญญา จะเป็นการสร้างจิตสำนึก สร้างระบบนำร่อง หรือจัดทำเป็นบันทึกเพื่อการปฏิรูปส่งมอบให้ผู้มีอำนาจบริหารจัดการระบบโครงสร้างสังคมในประเทศ หรืออะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยก็เบาใจได้ระดับหนึ่งว่า ประเทศไทยไม่สิ้นคนดี ที่จะมองหาทางออกให้พ้นจากวิกฤตการณ์ ส่วนจะสามารถปฏิบัติได้จริงหรือเป็นแค่แนวคิดเหมือนวาดฝันในอากาศหรือไม่นั้น เป็นเรื่องต้องติดตามต่อไป
เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ความเปลี่ยนแปลงเป็นจีรัง แต่สิ่งที่จีรังคือมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการเปลี่ยนแปลงนั้น กระทบหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ล่ะก็ เรื่องดีมีหลักการแค่ไหน ก็มีโอกาสจะกลายเป็นเรื่อง(ถูกใส่)ร้ายไปในสายตาของคนบางกลุ่มทันที
ฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า คงไม่พ้นประโยคที่ว่า “คน” เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูป หากคนไม่ตระหนักรู้ หรือเข้าใจความจำเป็นของการปฏิรูป เปลี่ยนแปลง เป้าหมายการปฏิรูปเพื่อให้ประเทศไทยน่าอยู่ หรือเพื่อให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดีกันถ้วนหน้าย่อมเป็นไปได้ยาก
วันนี้ คนไทยมากน้อยแค่ไหนที่มองเห็นว่า “ถึงเวลา” ต้องเปลี่ยนแปลง
มีคนไทยสักกี่มากน้อยที่เข้าใจว่า การปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของตัวเองนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่นอกจากหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยังต้องเร่งให้ความร่วมมือ และสนใจไขว่คว้ากันอย่างจริงจังต่อเนื่องอีกด้วย
ย้ำแล้วย้ำอีก… มีพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่เยาวชนมากน้อยเพียงใดที่รู้สึกว่า ระบบการศึกษาของไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่มีกฎหมายเพื่อการปฏิรูปการศึกษามากว่าทศวรรษ
ตอกครั้งแล้วครั้งเล่า…มีบุคคลากรในวงการศึกษามากน้อยแค่ไหน ที่รู้สึกสะท้อนใจ กับความจริงที่ ทุกฝ่ายเห็นสอดคล้องกันว่า ระบบการศึกษาคือหนทางการสร้างคนที่มีคุณภาพ สนองตอบต่อความต้องการในสังคม แต่วันนี้สถานการณ์การเรียนการสอนในบ้านเรา กลับกลายเป็นว่า เด็กไปโรงเรียนตามหน้าที่ เสร็จแล้วต้องขวนขวายแก่งแย่งกันไปหาความรู้เพิ่มเติมนอกรั้วโรงเรียนจากสถาบันกวดวิชาต่างๆ
นโยบายการเรียนฟรี 12 ปีของรัฐบาล จะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรว่า เป็นการเรียนที่มีคุณภาพ ในขณะที่เด็กมากกว่า 50% ต้องขอเงินพ่อแม่เป็นกรณีพิเศษเพื่อกวดวิชาเพิ่มเติมจากการเรียนปกติในห้องเรียนของตัวเอง
โรงเรียนกวดวิชาที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศ ไม่เพียงแต่เฉพาะในกรุงเทพมหานคร เป็นสิ่งสะท้อนความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทยอย่างมาก เพราะสังคมไทยจะได้ “คน” คุณภาพแบบเดียวกันจากสถาบันการศึกษาเฉพาะกิจเฉพาะทางเหล่านี้ นั่นคือ เรียนรู้และท่องจำสูตรสำเร็จเพื่อการสอบ มิใช่เพื่อการดำรงชีวิตที่เป็นธรรมชาติ มีคุณภาพ และมีสุขภาวะแม้แต่น้อย
คุณเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทำไม? ครูในโรงเรียนกวดวิชาจึงถ่ายทอดได้เก่งกว่าครูตามโรงเรียน
ทำยังไง? ที่เราจะจ้างครูกวดวิชาไปสอนประจำในโรงเรียน
ทำได้หรือไม่? ที่เด็กไทยจะมีสุขภาวะในการเรียนการศึกษา สอดคล้องกับความต้องการปฏิรูปประเทศไทย นั่นคือ มีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม มีความซื่อสัตย์ มีความตระหนักในหลักธรรมาภิบาลทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ทำอย่างไร? ไม่ให้เด็กไทยถอดแบบออกมาจากบล็อกความคิดเดียวกันเหมือนทุกวันนี้ นั่นคือ เรียนเก่งขนาดไหนก็ต้องกวดวิชา มิเช่นนั้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการเล่าเรียน การศึกษา
คำถามเหล่านี้เชื่อว่า เครือข่ายสถาบันทางปัญญา ของอาจารย์ประเวศ วะสี ก็ตระหนักดี และกำลังร่วมมองหาทางออก เพราะวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็เห็นมีการจัดเวิร์คช็อปเรื่อง “โคลนนิ่งครูเก่งได้อย่างไร” โดยรองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ หัวหน้าคณะทำงานปฏิรูปการศึกษาเพื่อสุขภาวะคนไทย เป็นแม่งาน
เนื้อหาสาระเป็นอย่างไร คงไม่สำคัญเท่ากับประเด็นที่ทุกคนเห็นสอดคล้องกันว่า การเรียนการสอนในระบบโรงเรียนจะเป็นแหล่งสร้างคนคุณภาพ อนาคตที่ดีของชาติ และเพื่อการ CHANGE อันพึงปรารถนา มิใช่แกะบล็อกออกจากโรงเรียนกวดวิชา ที่ตอบคำถามตามที่ติวเตอร์ป้อนใส่ปากยัดใส่สมองโดยไม่รู้จักคิด
ดังนั้น การมีครูเก่งสอนในโรงเรียนภาคปกติ จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กมีปัญญา รู้จักคิด รู้จักวางแผน มองหาคำตอบด้วยตนเอง เรียนรู้การอยู่ร่วมด้วยความรับผิดชอบ พร้อมๆ กับการแบ่งปันช่วยเหลือร่วมมือก้าวสู่เป้าหมายที่แยกแยะถูกต้องชั่วดี ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตา แข่งขันกันทุกวิถีทางเพื่อกระดาษแผ่นเดียว เสร็จแล้วได้คนเก่งแต่โกง สร้างปัญหาให้สังคมไม่รู้จบ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 02-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์