สื่อสารสร้างสรรค์ สู่สังคมสุขภาวะ – อุดมคติ

ที่มา: งานเสวนา “Smart media Smart Communication Smart Society  สื่อสารสร้างสรรค์ เสริมพลังการสื่อสาร พัฒนาสังคมไทย”

                    เพราะมนุษย์ไม่อาจอยู่ได้โดยลำพัง กระบวนการสื่อสารเป็นจุดเชื่อมร้อยให้คนรวมกลุ่ม ก่อเกิดเป็นสังคม ดังนั้น หากกระบวนการสื่อสารเข้ามาช่วยขับเคลื่อนสร้างการเปลี่ยนแปลงก็จะนำไปสู่สังคมที่มีอุดมคติพรั่งพร้อมไปด้วย สุขภาวะที่ดีมีความมั่นคงทางการเงิน และทำเพื่อส่วนรวม นี่คือสิ่งที่ถูกหยิบยกมาเอ่ยถึง ในงานเสวนา “Smart media Smart Communication Smart Society  สื่อสารสร้างสรรค์ เสริมพลังการสื่อสาร พัฒนาสังคมไทย”

                    นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า กระบวนการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นหมุดหมายที่ทำได้ยาก เพราะต้องต่อสู้กับกิเลสในใจคน ที่มาจากทัศนคติความเชื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อ เรื่องทุนนิยม  กระตุ้นสังคมและเศรษฐกิจด้วยการกิน การใช้เพื่อมุ่งแค่ความสุขเป็นหลัก อาทิ กินอาหารรสหวาน มัน เค็ม ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ จนหลงลืมเรื่องสุขภาวะในระยะยาว บางคนกว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้จริงต้องรอให้ป่วยเป็นโรคเสียก่อน

                    การสื่อสารเรื่องสุขภาวะเพื่อปรับพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด ผู้จัดการกองทุน สสส. ตั้งใจเล่าด้วยท่าทางมุ่งมั่น พร้อมอธิบายแนวทางสำคัญ คือ 1. การสื่อสารเพื่อมุ่งปรับพฤติกรรมที่ไม่ส่งผลต่อสุข-ทุกข์ เช่น การคาดเข็มขัดนิรภัย เป็นเรื่องที่ต้องสร้างการตระหนักรู้ และต้องสื่อสารซ้ำ ๆ และ 2. การสื่อสารเพื่อมุ่งปรับพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุข-ทุกข์ เช่น การรับประทานอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดโรค NCDs ลดภาวะโรคหลอดเลือดสมอง ต้องใช้เวลาในการสื่อสารเป็นเวลานาน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

                    ดังนั้น กระบวนการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงสุขภาวะต้องเน้นให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ตรงประเด็น สื่อสารโดนใจ และใช้ความอดทนให้นานพอ เพื่อคนได้รับรู้ข้อมูลในระยะยาว เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม  จากนั้นอาจไปชักชวนคนรอบข้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามด้วย แต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เลือกเชื่อถือและศรัทธาอินฟลูเอนเซอร์ กระบวนการตรวจสอบข้อมูลจึงเกิดขึ้น ทั้งผู้ให้ข้อมูลสื่อสารและผู้รับสารในคราวเดียวกัน

                    “เชื่อว่าอินฟลูเอนเซอร์ส่วนใหญ่มีเจตนาดีที่จะถ่ายทอดข้อมูลให้กับประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงสุขภาวะที่ดี แต่ทั้งนี้อยากให้ควบคู่ไปกับนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาร่วมในการสื่อสาร เพื่อสร้างความน่าเชื่อของข้อมูลมากยิ่งขึ้น และอยากเชิญชวนอินฟลูเอนเซอร์มาร่วมกันปลุกจิตสำนึกการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประเทศชาติให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีมากขึ้น โดยไม่ต้องรอกลไกภาครัฐเท่านั้น

                    ส่วนประชาชนในฐานะผู้รับสารควรมีการตรวจสอบข้อมูลเสมอ กรณีนำคำแนะนำ หรือคำชักชวนมาปฎิบัติใช้ที่มีผลกับสุขภาพหรือชีวิตของตนเองผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือก่อนทำตาม ” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

                    นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) หรือเครดิตบูโร กล่าวว่าการสื่อสารในปัจจุบันไม่ได้พึ่งพาสื่อหลักอีกต่อไป แต่ทุกคนสามารถเป็นสื่อเองได้
บนพื้นฐานความเชื่อที่อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป แต่ในการสื่อสารเพื่อให้คนตระหนักและเข้าใจเรื่องเงินทอง รวมถึงการมุ่งแก้ปัญหาหนี้สินก่อนกลายเป็นหนี้เสีย กลับไม่เคยพูดความจริงกัน เพื่อนำมาสู่การแก้ไข เพราะความเชื่อและทัศนคติที่ว่า “ยิ่งพูดเรื่องเงินทอง ปัญหายิ่งบานปลาย ”

                    ปัจจุบันพบว่า คนไทยมีหนี้มากกว่ารายรับ และกลายเป็นหนี้เสียมากถึง 5.4 ล้านคน จากคนทำงาน ทั้งหมด 44 ล้านคน เมื่อสอบถามจุดประสงค์ของการกู้ยืมเงิน ในแต่ละยอดของเงินกู้กลับไม่ได้คำตอบ เมื่อจวนตัวกลับขอโอกาสผ่อนผันชำระหนี้แทน ซึ่งการสื่อสารเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน สิ่งที่ตระหนักเสมอ คือ เมื่อเอารายได้ลบเงินออมที่เหลือจึงเท่ากับรายจ่าย ดังนั้น จึงไม่อยากให้ประมาทในการใช้เงิน

                    “ยิ่งคนเรามีความกดดันจากที่ทำงาน เมื่อนับถอยหลัง พบว่าเวลาการทำงานยิ่งสั้นลง ทำให้ทุกคนมองหาทางลงทุนให้ได้รับเงินตอนแทน ในระยะเวลาอันสั้นเหมือนกับกบที่ต้องการกระโดดให้ไกลที่สุด ยกตัวอย่างขณะนี้คนนิยมลงทุนซื้อทอง ออมทอง เคยถามตัวเองกันไหมว่า สิ่งที่ซื้อมานั้นได้ทองจริงหรือทองกระดาษ จับต้องได้ไหมหรือซื้อกองทุนทอง มีทองจริงไหม และมีทองเท่าไหร่ ควรหาข้อมูลให้แน่ใจก่อนอย่าประมาทรีบตัดสินใจ ไม่เช่นอาจเสียใจได้” นายสุรพล กล่าว

                    รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS กล่าวว่า ทฤษฎีการสื่อสาร และบทบาทของสื่อมวลชนกำลังเปลี่ยนไป สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เป็นนายประตู (Gatekeeper) อีกต่อไป  เพราะทุกคนกลายเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น รูปแบบการนำเสนอจึงไม่ควรมุ่งหลังแค่ยอดไลก์ ยอดแชร์ แต่ควรมุ่งหวังไปที่หัวใจของประชาชน

                    ความน่าเชื่อถือ คือสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในสื่อหลัก ขณะที่กระบวนการตรวจสอบกำลังถูกแทนที่ด้วย AI ดังนั้นคนทำหน้าที่สื่อต้องเปิดพื้นที่รับฟังความจริงจากทุกด้าน ให้คนที่มีปัญหามาสะท้อนเรื่องราวและความจริงในมุมของตัวเอง และหันมาทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลนั้นซ้ำอีกทีรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรหันมากำหนดวัดมาตรฐานการสื่อสารด้วยจริยธรรม แทนวัดจากเรตติ้งแทน

                    “คนทำสื่อ มีหน้าที่ต้องทำให้ความจริงเข้าถึงง่าย ด้วยการเปิดพื้นที่สาธารณะให้เยาวชน กลุ่มคนเปราะบาง มาถกเถียงแลกเปลี่ยนสะท้อนเรื่องราวของตัวเองมากกว่าการบอกเล่าจากคนอื่น จากนั้นสื่อต้องหันมาทำหน้าที่ตรวจสอบให้เหนือกว่า AI ว่าข้อมูลที่ได้รับเป็นความจริงหรือเปล่า และรับผิดชอบต่อข้อมูลที่เผยแพร่ออกไป” รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว

                    ทุกเรื่องราวของการสื่อสารล้วนมีเป้าหมาย และมีข้อความที่ต้องการส่งออกไปแต่ทำอย่างไรให้ไปถึงยังจุดหมาย “สังคมสุขภาวะ และอุดมคติ” ได้นั้นคงต้องเริ่มจาก “ตัวเรา” ไม่ต้องรอให้ใครชี้นำ พร้อมชวนเพื่อนรอบข้าง ร่วมเดินทางไปสู่เป้าหมายของการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี กลายเป็นสังคมไร้โรค ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ลดงบประมาณของภาครัฐที่ไม่จำเป็น

 

Shares:
QR Code :
QR Code