7 องค์กรเร่งแก้ ‘เชื้อดื้อยา’

ที่มา: www.thaipost.net


7 องค์กรเร่งแก้ ‘เชื้อดื้อยา’ thaihealth


แฟ้มภาพ


สธ.เร่งแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาที่มาจากการใช้ยาไม่เหมาะสม "หมอปิยะสกล" เน้น อย.ประสาน 7 องค์กรร่วมแก้ปัญหา แพทย์จุฬาฯ ชี้ทางออกไม่ได้มีแค่ถอนตำรับยาเท่านั้น แต่ถ้ามีความร้ายแรงน้อยควรปรับสูตรแทน แนะฉลากยาควรตรงกับสรรพคุณจริง


นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมว่า เป็นการประชุมเพื่อหาทิศทางการทำงานด้านสุขภาพ เน้นในเรื่องการทำงานร่วมกันของทุกองค์กรอย่างบูรณาการ ที่ชัดเจนที่สุดคือการแก้ปัญหาการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผล ปัญหาหนึ่งของเชื้อดื้อยา และยังเป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยนั้น เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ จะให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเป็นไปได้ยาก ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งขณะนี้องค์กรสุขภาพทั้ง 7 แห่งอยู่ในระหว่างดำเนินการ โดยทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มอบนโยบายให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่งมีการจัดการการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล โดยมี พญ.ประนอม คำเที่ยง รองปลัด สธ. ดูแลเรื่องนี้ และจะมีการทำงานร่วมกับคณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล นอกจากนี้แล้วทาง ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธาน จะจัดทำเป็นคู่มือการดำเนินการให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ โดยจะเริ่มดำเนินการพร้อมกันในวันที่ 1 ตุลาคม 2559


รมว.สธ.กล่าวอีกว่า เมื่อมีความพร้อมในด้านคู่มือประกอบกับมีแนวทางแล้ว ทาง สธ.จะมีการกำกับดูแลให้โรงพยาบาลดำเนินการตามกรอบต่างๆ นอกจากนี้ในส่วนของ สสส.จะทำหน้าที่ในการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล แนะนำสรรพคุณว่ายาชนิดไหนมีข้อดีและชนิดไหนมีข้อเสียอย่างไร ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะมีการดำเนินงานในลักษณะการจัดสรรงบประมาณ ขณะเดียวกัน สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) จะดูแลในเรื่องมาตรฐานสถานพยาบาล หรือเอชเอ (HA) ซึ่งจะนำเรื่องการใช้ยาอย่างเหมาะสมเป็นเกณฑ์มาตรฐานด้วย รวมไปถึงหน่วยงานวิจัย อย่างสำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จะต้องมีการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้ยาสมเหตุสมผล ยาชนิดใดให้โทษ ไม่สมควรใช้ ต้องมีข้อมูลทั้งหมด ทั้งนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล โดยเป็นนโยบายหนึ่งในการดำเนินการ ซึ่งแต่ละภาคส่วนจะมีหน้าที่ในการดำเนินการแก้ไขอยู่แล้ว อย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็มีหน้าที่ของตนเอง สิ่งสำคัญที่จะฝากให้ อย.ดำเนินการคือ ต้องทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม เอ็นจีโอต่างๆ ไม่แยกฝ่าย จึงอยากขอความร่วมมือให้มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น เรื่องยาปฏิชีวนะที่มีปัญหา ก็ต้องรวบรวมมาดูและพิจารณา เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ


นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เป็นข้อเสนอของหลายหน่วยงานที่ต้องการให้ถอดถอนยาต้านแบคทีเรีย (ยาปฏิชีวนะ) ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันออกจากบัญชียา ซึ่งในส่วนของการทบทวนยาประเภทนี้ได้มีการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาสักระยะหนึ่ง แต่การดำเนินงานค่อนข้างล่าช้า จึงเป็นการกระตุ้นเพื่อถอนทะเบียนยาเหล่านั้นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างทันท่วงที ซึ่งยาที่เป็นอันตรายจะแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ ยาที่ใช้ในคนเมือง หรือกรุงเทพมหานคร คือยาอมที่มีส่วนประกอบของสารปฏิชีวนะที่วางจำหน่ายทั่วไป และยาที่ใช้ในชนบทที่มีการซื้อขายกันในร้านชำ มีการซื้อในลักษณะที่ไม่ตรงกับอาการ เช่น ต้องการซื้อยาแก้อักเสบ แต่ในความเป็นจริงยาที่ได้ไปกลับเป็นยาปฏิชีวนะ 


นอกจากนี้ ปัญหาดื้อยาที่เกิดขึ้นในชนบทก็เกิดจากการใช้ยาตามกำลังซื้อ ซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้มีระยะเวลาสั้น ไม่ต่อเนื่อง ในขณะนี้มียากว่า 40 ตำรับต้องมีการแก้ไขในทะเบียนยา แต่ทั้งนี้ การแก้ไขนั้นไม่ได้มีเพียงมาตรการการถอดออกบัญชียาเท่านั้น แต่จะมีการใช้มาตรการอื่นควบคู่ไปด้วย ตามแต่ความร้ายแรงมากน้อยของยาแต่ละประเภท เช่น หากมีความรุนแรงมากต้องถอนออกจากบัญชียา หากมีจำนวนของสารปฏิชีวนะในจำนวนที่ไม่มากนักต้องมีการปรับสูตรเพื่อนำสารปฏิชีวนะออกไป นอกจากนี้ในเรื่องของฉลากยาที่บางตำรับอาจมีการบรรยายสรรพคุณเกินจริง หรือมีมานานแล้ว ต้องปรับฉลากยาให้ตรงกับสรรพคุณจริง

Shares:
QR Code :
QR Code