5 วิธีชะลอสมองเสื่อมในผู้สูงวัย
ที่มา : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์
แฟ้มภาพ
กรมสุขภาพจิต แนะ 5 วิธีป้องกันช่วยชะลอสภาวะสมองเสื่อมสำหรับผู้สูงวัย ได้แก่ ด้านการรู้คิด ด้านความจำ ด้านทักษะ ด้านอารมณ์จิตใจ และด้านพฤติกรรม เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตพึ่งพาตนเอง ในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมของผู้สูงวัย ซึ่งผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาหลักสำคัญในผู้สูงอายุคือ ปัญหาด้านสุขภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง และเสื่อมถอยของระบบต่างๆ ของร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมถอยนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ รวมทั้งป้องกันปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โดยปัญหาด้านโรคที่เกิดจากความเสื่อมทั้งทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น ภาวะข้อเสื่อม โรคทางระบบประสาท เช่น ภาวะสมองเสื่อม และโรคพาร์กินสัน นับเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในการตรวจประเมิน ดูแล รักษา ส่งเสริมป้องกัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเหล่านี้ สามารถดำรงชีวิตได้โดยการพึ่งพาตนเองมากที่สุดและมีสุขภาพจิตมีคุณภาพชีวิตที่ดี
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า สำหรับวันอัลไซเมอร์โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กันยายนของทุกปีนั้น โรคอัลไซเมอร์ถือเป็นสาเหตุอันดับต้นของภาวะสมองเสื่อม ซึ่งภาวะสมองเสื่อมเป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุอาการแสดงที่สำคัญที่พบได้ในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ การบกพร่องด้านความจำ เช่น ลืมวันนัดหมาย ทำของหายหาไม่เจอ หลงทางในสถานที่คุ้นเคย การบกพร่องด้านความสามารถในการคิดวางแผน เช่น ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การใช้อุปกรณ์เครื่องมือใหม่ๆ ลดลง การบกพร่องด้านการสื่อสารเช่น ความคล่องแคล่วในการพูดหรือการสื่อสารลดลง มีปัญหาในการคิดคำศัพท์ วลี หรือประโยคที่เหมาะสม การบกพร่องด้านพฤติกรรม เช่น มีความหุนหันพลันแล่น ตัดสินใจเร็ว ขาดความยั้งคิด ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลง อาจพบอาการเดินออกจากบ้านไปเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การหลงทาง เป็นต้น
กรมสุขภาพจิต จึงขอแนะนำผู้สูงวัยที่มีความเสี่ยงหรือเริ่มมีอาการภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มแรก เพื่อช่วยชะลอความรุนแรง ในการเกิดภาวะสมองเสื่อมให้เกิดช้าลง สามารถพึ่งพาตนเองและดำรงชีวิตในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ ด้วย วิธีป้องกัน 5 ข้อ ดังนี้ 1. ด้านการรู้คิด เป็นการกระตุ้นให้ใช้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยฝึกการรับรู้ เวลา สถานที่ บุคคล โดยใช้สถานการณ์หรือเหตุการณ์ประจำวันช่วยในการกระตุ้น เช่น การอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์และมีอุปกรณ์ช่วยบอกวันเวลา เช่น นาฬิกา ปฏิทิน เป็นต้น
2. ด้านความจำ จะเป็นการช่วยเพิ่มความจำให้กลับมาได้ในระดับเดิมมากที่สุด เช่น ฝึกจำหน้าคน การบอกชื่อคน ฝึกความจำด้วยการใช้สุภาษิต คำพังเพย ฝึกนับตัวเลข การเล่นเกมส์ เป็นต้น 3. ด้านทักษะ เพื่อรักษาระดับความรู้ความสามารถให้คงเดิมและเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่เพิ่มขึ้นโดยการเรียนรู้และฝึกทักษะด้วยวิธีการที่ง่ายๆ เช่น การวาดภาพ การปั้นดินน้ำมัน การเต้นรำ รำวง เป็นต้น 4. ด้านอารมณ์จิตใจ เป็นการกระตุ้นความจำและอารมณ์ โดยใช้ประสบการณ์ชีวิตในอดีตและใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น รูปภาพ ดนตรี เสียงเพลง รวมทั้งการออกกำลังกาย จะช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
และ 5. ด้านพฤติกรรม เป็นการค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมหรือตัวกระตุ้นเพื่อลดปัญหาเหล่านั้นเช่น การให้แรงจูงใจ การให้รางวัล การชื่นชม เป็นต้น การรักษาแบบนี้จะทำให้พฤติกรรมที่หายไปกลับคืนมาและลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาเช่น ก้าวร้าว ตะโกนเสียงดัง เป็นต้นทั้งนี้ หากพบผู้สูงอายุที่มีอาการแสดงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมมาก ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป