3 จุดอ่อน “เด็กไทย” ดันโครงการตำบลเด็กมีส่วนร่วม

ที่มา : MGR Online 


ภาพประกอบจาก MGR Online 


3 จุดอ่อน


อาจารย์ธรรมศาสตร์ เผย 3 จุดอ่อนเด็กไทย ขาดพัฒนาทักษะชีวิตที่ทันสถานการณ์ ขาดการส่งเสริมระบบการศึกษาที่เหมาะสม และความเหลื่อมล้ำทางสังคม จับมือ 4 หน่วยงาน ผลักดันโครงการพัฒนาตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมสภาเด็กและเยาวชน ดันเด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน


ผศ.ชานนท์ โกมลมาลย์ ผู้อำนวยการโครงการพัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน และอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมสงเคราะห์คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนที่ผ่านมา กลไกการพัฒนาถูกกำหนดและดำเนินการโดยผู้ใหญ่ ตั้งแต่กระบวนการคิดการลงมือทำ การแก้ปัญหา ซึ่งล้วนแต่เป็นมุมมองการพัฒนาที่เกิดขึ้นแค่ด้านเดียวจึงเกิดช่องว่างทางสังคม ระหว่างเด็กเยาวชนและผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดจุดอ่อนของเด็กไทยได้ 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ขาดการพัฒนาทักษะการใช้ที่ชีวิตที่ทันต่อสถานการณ์ 2. ขาดการส่งเสริมระบบการศึกษาที่เหมาะสม และ 3.ข ดโอกาสจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม


ผศ.ชานนท์ กล่าวว่า องค์กรภาคีหลัก 4 หน่วยงาน ได้แก่ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. สำนักสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมกิจการเด็กและเยาวชนกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมกันผลักดัน “โครงการพัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน” เพื่อสร้างนวัตกรรมทางสังคมในการพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านการเปลี่ยนมุมมองการพัฒนา โดยเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชน มีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแสดงออกและสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากมุมมองของเด็กและเยาวชนอย่างแท้จริง  ด้วยการผลักดันศักยภาพการมีส่วนร่วมของเยาวชนในท้องถิ่นนำไปสู่ทางออกที่เหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด


ผศ.ชานนท์ กล่าวว่า “โครงการพัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน” ด้วยการพัฒนานวัตกรรมทางสังคมรูปแบบใหม่ผ่านกรอบแนวคิด “เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” โดยมีกระบวนเริ่มต้นจากการพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยเบื้องต้นแก่เยาวชน จากนั้นจะร่วมกันวิจัยเพื่อค้นหารูปแบบส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนระดับตำบลเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของสังคมที่เด็กและเยาวชนเป็นผู้เลือก กำหนดเป้าหมายตามความถนัด ตามความสนใจผสมผสานการสนับสนุนจาก “เบญจภาคี” ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเศรษฐกิจ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคเด็กเยาวชนรวมทั้งมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “SIY” กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และยังมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับสภาเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 1 ไปแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากนี้ยังมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและยังมีการขับเคลื่อนงานจริงในระดับพื้นที่ในทุกแห่งที่สนใจเข้าเข้าร่วมโครงการตลอดจนถึงเดือนกันยายน 2562รวมระยะเวลาการดำเนินโครงการทั้งสิ้น 18 เดือน


น.ส. ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีกลไกในการพัฒนาเด็กและเยาวชนผิดทาง คือ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น สิ่งเสพติด เด็กติดเกม คุณแม่วัยใสความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น จนละเลยเรื่องการป้องกันซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันด่านแรกที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา และเป็นเรื่องที่ทำให้ไทยเสียโอกาส ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพและทักษะของเด็กและเยาวชนให้มีภูมิคุ้มกันทางความคิด มีทักษะในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้อีก และต้องเริ่มลงมือเลยตั้งแต่วันนี้


“แต่การพัฒนาให้เกิดการป้องกันที่มีประสิทธิภาพได้ต้องเป็นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในระยะยาว เนื่องจากองค์ความรู้ หรือทักษะที่จะนำไปสู่การสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพต้องใช้ระยะเวลาในการกระตุ้นให้เกิดการรับรู้จนนำไปสู่การปฏิบัติได้ ที่สำคัญต้องเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาให้มากกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างน้อยให้ได้สัดส่วน 70 ต่อ 30 เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งโครงการดังกล่าว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่นอย่างตรงจุด” นางสาวณัฐยากล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code