‘2 เราเท่าเทียม’ ลดบทบาท ‘ชายเป็นใหญ่’

ดึงผู้ชายเป็นแนวร่วมยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

 

‘2 เราเท่าเทียม’ ลดบทบาท ‘ชายเป็นใหญ่’

 

มูลนิธิเพื่อนหญิงจับมือสสส. เปิดผลโพลล์รับเดือนยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ชี้สามี 89% พร้อมทำงานบ้าน-เลี้ยงลูกช่วยภรรยา ขณะที่ 91% ยอมรับบทบาทผู้หญิง

 

วันนี้ (4 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.00น. ที่ลานวิคตอรี่พ้อยต์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรับเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรง 2553 เปิดตัวแคมเปญ “สองเราเท่าเทียม” สะท้อนชีวิตจริงจากผู้ชายต้นแบบ 4 คน ที่ทำงานบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าว เลี้ยงลูก ทั้งนี้ ภายในงานมีการเสวนา “แค่เลิกคิดว่า ชายเป็นใหญ่สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นได้จริงหรอ”

 

‘2 เราเท่าเทียม’ ลดบทบาท ‘ชายเป็นใหญ่’

 

นายจะเด็ด เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า เดือนพฤศจิกายน ถือเป็นเดือนยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ซึ่งสังคมไทยส่วนใหญ่ที่เคยมองมองว่า ผู้ชายต้องเป็นใหญ่ในครอบครัว แต่ผลการสำรวจที่ทางมูลนิธิฯ ได้ทำขึ้น ในการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นของผู้ชาย หัวข้อ “แค่เลิกคิดว่า ชายเป็นใหญ่สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นได้จริงหรอ” ระหว่างวันที่ 17 – 23 ต.ค. 2553 โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายทั้งหมด 1,139 คน จาก 9 จังหวัด อาทิ กรุงเทพฯ สุรินทร์ ชุมพร และเชียงใหม่ เป็นต้น พบว่า ทัศนคติของผู้ชาย ในมิติความเสมอภาคหญิงชายนั้นดีขึ้นกว่าในอดีต เช่น ผู้ชายส่วนใหญ่เห็นว่า การแสดงออกถึงความเป็นชาย คือการรักและรับผิดชอบต่อครอบครัว ไม่ใช่การดื่มเหล้าถึงร้อยละ 89.60 และเมื่อถามว่า ผู้ชายเป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามในบ้าน ควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก พบว่า มีผู้ชายแสดงความเห็นด้วยสูงถึงร้อยละ 91.90 ส่วนประเด็นที่ว่า ผู้ชายช่วยทำงานบ้าน เป็นการช่วยกันแบ่งเบาภาระของผู้หญิง และถือเป็นงานของครอบครัว พบว่า มีผู้ชายเห็นด้วยกว่าร้อยละ 89.80 

 

          นายจะเด็จ กล่าวต่อว่า เมื่อถามว่า ภรรยาไม่ใช่สมบัติของสามี จึงต้องให้เกียรติ ไม่ดุด่า ทุบตี บังคับหลับนอน ปรากฏว่า เป็นที่น่าดีใจ เพราะกลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 82.60 ที่แสดงความเห็นด้วย สำหรับคำถามที่ว่า ผู้ชายต้องเข้ามามีส่วนเลี้ยงดูลูก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว พบว่าร้อยละ 89.40 ที่ผู้ชายเห็นด้วย ส่วนประเด็นการยอมรับความสามารถของผู้หญิง กับคำถามว่า ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ ผู้หญิงก็มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายนั้น พบว่า ผู้ชายกว่าร้อยละ 85.60 ที่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ผลในทางปฏิบัติจริงของผู้ชายจะสอดคล้องกับความคิดเห็นที่ได้มานี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป ซึ่งคงต้องรณรงค์กันอย่างเข้มแข็ง จริงจังและต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ทางมูลนิธิและแกนนำผู้ชายเลิกเหล้า ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก จะเข้าพบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำเสนอเรื่องความเสมอภาคหญิงชายในมิติของการศึกษา และในวันที่ 12 พฤศจิกายน จะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย

 

‘2 เราเท่าเทียม’ ลดบทบาท ‘ชายเป็นใหญ่’

 

            ด้าน พันตำรวจโทพิเชียร สุวพิศ ข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรสลุย จังหวัดชุมพร ในฐานะผู้ชายต้นแบบที่ทำหน้าที่แทนภรรยาได้ กล่าวว่า ตนเข้าใจจิตใจของผู้หญิง โดยคิดว่าผู้หญิงซื่อสัตย์มากกว่าผู้ชาย มีความรับผิดชอบสูง มีศีลธรรมมากกว่า และไม่ค่อยมีอบายมุขเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สังคมกลับคิดว่าผู้หญิงมีความสามารถไม่มากเหมือนผู้ชาย จึงไม่ให้โอกาสผู้หญิง ทั้งที่ควรเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมากกว่านี้ เพราะทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน จึงไม่ควรยึดติดคำว่า ช้างเท้าหน้า ช้างเท่าหลัง โดยเฉพาะกรณีที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องเห็นใจและควรใส่ใจดูแล

 

            ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันต้องเข้าใจกัน ต้องมองว่าภรรยาไม่ใช่คนรับใช้ ต้องถนอมน้ำใจกัน เพราะสมัยนี้คนเราอารมณ์รุนแรงขึ้น เห็นได้จากการมาแจ้งความเรื่อง การทะเลาะตบตีกัน เพราะขาดสติ จากการเมา การพนัน ยาเสพติด มีเพิ่มมากขึ้น พันตำรวจโทพิเชียร กล่าว

 

‘2 เราเท่าเทียม’ ลดบทบาท ‘ชายเป็นใหญ่’

 

            ส่วน นายดำรง เภตรา อดีตพนักงานขับรถเมล์โดยสาร กทม. กล่าวว่า ด้วยความที่เราเคยคิดว่าเราต้องเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านจะทำอะไรก็ได้ ภรรยาและลูกต้องเคารพเรานั้น ตนมีประสบการณ์เพราะเป็นคนเคยดื่มเหล้าจัดมาก  เงินเดือนที่ได้ต้องเอาไปใช้หนี้จากการดื่ม จนไม่มีเงินให้ลูกและภรรยาเอาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว รวมทั้งทะเลาะกับภรรยา ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย  ตนดื่มหนักจนต้องขายรถเมล์ ขายเครื่องมือทำมาหากินจนหมดตัว จากนั้นจึงตัดสินใจเลิกเหล้าและนึกถึงครอบครัวมากขึ้น และตอนนี้กลายเป็นคนรักครอบครัว เมื่อก่อนไม่เคยหยิบจับอะไร เอาเปรียบภรรยาตลอด แต่ตอนนี้กลับทำงานบ้านให้ภรรยาทุกอย่างทั้งล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ซึ่งทำให้ตนรู้ว่าภรรยาสามารถทำหน้าที่แทนเราได้ทุกเรื่อง เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ได้ ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองเราเองจะเป็นใหญ่  

 

               “ผู้หญิงทำงานหนักกว่าผู้ชายคือ 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่ผู้ชายทำงานเพียง 8 ชั่วโมง เพราะผู้ชายเลิกงานมาแต่ภรรยาก็ต้องทำกับข้าว ซักผ้า รีดผ้า ทั้งๆ ที่หน้าที่ตรงนี้ สามีก็เป็นฝ่ายทำให้ภรรยาและครอบครัวได้ ดังนั้น สังคมต้องเปลี่ยนทัศนะคติ ไม่มองผู้หญิงเป็นสมบัติทีอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ชาย ซึ่งควรมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน และสอนลูก เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก นายดำรง กล่าว

 

 

 

 

 

ที่มา : มูลนิธิเพื่อนหญิง

 

 

update : 04-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code