ไทยติดอันดับเสี่ยงเกิดภัยพิบัติ

 

นักวิชาการ ชี้ ไทยเสี่ยงเกิดภัยพิบัติอยู่อันดับ 8 ของโลก ห่วงระบบรับมือภัยพิบัติไทยอ่อน แนะตั้งรับแบบฉุกเฉิน ผ่านแผนประสานงานทุกภาคส่วน

ศูนย์การเรียนรู้สื่อสุขภาวะ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กทม. จัดเวทีสาธารณะ เรื่อง ความเสี่ยงประเทศไทยกับภัยพิบัติโลก ในวาระรำลึก 8 ปี สึนามิ โดยความร่วมมือของ มูลนิธิชุมชนไท เครือข่ายภาคประชาชน สำนักงานปฏิรูป (สปร.)  สสส. โดยมี  พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการประทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการจัดงาน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมีการเสวนาเรื่อง ความเสี่ยงประเทศไทยกับภัยพิบัติโลก โดยนายธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หน่วยศึกษาพิบัติภัยและ ข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กล่าวถึง สถานการณ์ภัยพิบัติในระดับโลก ว่าที่ผ่านมามีสถานการณ์ภัยพิบัติโลกเกิดขึ้นประมาณ 820 ครั้ง โดยในปีล่าสุดที่ประเมินผลความเสียหายจากประเทศที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและเกิดความเสียหายทั้งทางชีวิตและเศรษฐกิจสูงที่สุด คือ ประเทศญี่ปุ่น รองลองมา คือ ไทย  นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา โดยเมื่อมองภาพรวมแล้วพบว่า ภัยที่เกิดบ่อยและน่ากังวลสูงสุด คือ สถานการณ์น้ำท่วมมีมากถึง 37% แผ่นดินไหว 9% ที่เหลือเป็นสถานการณ์ไฟป่า ภัยแล้ง แต่หากประเมินความเสี่ยงและจัดอันดับภัยพิบัติแล้วไทยอยู่ในความเสี่ยงลำดับที่ 8 ซึ่งเมื่อประเมินสถานการณ์ โดยเมื่อเทียบในระดับทวีป ทวิปเอเชียและทวีปอเมริกา จะเกิดบ่อยที่สุด  แต่ภัยพิบัติเมื่อปี 2554 ก็ยังไม่ใช่ภัยที่รุนแรงที่สุด  เพราะเมื่อเทียบความเสียหายแล้วภัยพิบัติในปี 1931 ในจีน ยังครองอันดับรุนแรงเป็นอันดับหนึ่ง

“สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่ภัยพิบัติธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการจัดการน้ำที่ล้มเหลว ซึ่งควรเร่งเปลี่ยนแผนจัดการใหม่ให้มีความพร้อมใหม่ ให้รับกับสถานการณ์อขงสิ่งแวดล้อมโลก” นายธนวัฒน์ กล่าว

ด้าน ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ภัยพิบัติ นั้น องค์กรนาซ่า ได้เคยพยากรณืสถานการณ์ไว้ว่า  ปี 2556 อาจจะมีการเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่อีกครั้ง แต่สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวมแล้ว พบว่า ในปี 2555 ไทยก็เกิดน้ำท่วมหลายพื้นที่ ขณะท่างพื้นที่ก็เกิดภัยแล้ง ซึ่งหลายเหตุการณ์สอดคล้องกับโลกร้อน แต่อดีตที่ผ่านมา 1-2 ปีนั้นเรายังพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของแผ่นเปลือกโลกบ่อยทั้ง  ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ ก็ล้วนเจอแผ่นดินไหว เนื่องจากเปลือกโลกกำลังแยกตัว  ดังนัน้ประเทศไทยก็ไม่ควรประมาท เพราะในอีก 10-11 ปีข้างหน้า สถานการณ์ต่างๆก็อาจปลี่ยนแปลงอีกมากมาย ซึ่งอาจจะไม่รุนแรง  เช่น เกิดพายุเล็กน้อย ที่ก่อภัยคุกคามของประเทศ

ด้านนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ผู้อำนวยการหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องปรับปรุงโดยเร็วในการจัดการภัยพิบัติ คือ ประเทศไทยต้องเร่งการบริการศูนย์ประสานงานภัยพิบัติแบบฉุกเฉิน  เพราะการป้องกันและกู้ภัยประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในปัจจุบัน จะจำเพาะเจาะจงแค่พื้นที่ใด พื้นที่หนึ่งไม่ได้ เนื่องจากภัยธรรมชาติเกิดได้ทุกที่  การตั้งรับแค่ในบ้านของตนจึงไม่ใช่คำตอบ  ซึ่งส่วนนี้ประเทศที่เคยทำแล้วสำเร็จ คือ ประเทศนอร์เวย์ ที่มีการตั้งศูนย์ภัยพิบัติในสนามบินเมื่อครั้งเกิดสึนามิ ที่เขาหลัก จ.พังงา 

นายแพทย์บัญชา กล่าวด้วยว่า   นอกจากนี้ประเทศไทยต้องเร่งรวบรวมข้อมูลวิชาการให้มากขึ้นด้วย เพราะปัจจุบันประชาชนรับรู้ข้อมูลความเสี่ยงเกิดภัยพิบัติน้อยมาก  ทำให้การปฏิบัติการล่าช้า ซึ่งจะให้ดีต้องประสานงานทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจ เอกชน รัฐบาล และภาคประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งทุน และพื้นที่เตรียมความพร้อม

 

 

ที่มา : สื่อสุขภาวะชุมชนชายขอบ

Shares:
QR Code :
QR Code