ไข้ยุ่งๆ มากับยุงตัวร้าย
เรื่องยุงนี่เล็กแต่อันตรายมาแต่ไหนแต่ไร กัดปุ๊บหยิบยื่นให้ปั๊บทั้งโรคไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบ โรคเท้าช้าง ไข้จับสั่น ส่วนใหญ่คนจะเฝ้าระวังโรคฮิต อย่างไข้เลือดออกกันมาก โดยช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ พบผู้ป่วยแล้วกว่า 20,000 คน เสียชีวิต 25 คน
แต่ยิ่งเข้าใกล้ช่วงฤดูฝน โรคยิ่งระบาดได้มากขึ้นไม่เว้นแม้แต่โรคมาลาเรีย (หรือไข้จับสั่น ไข้ป่า) ที่แม้จะมีรายงานผู้ป่วยลดน้อยลงจากปีก่อน แต่ช่วง 4 เดือนแรกของปีก็มีผู้ป่วยเกิน 2,000 คนแล้ว
ในวันนี้ตรงกับวันมาลาเรียโลก นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข จึงเตือนประชาชนให้ระวังยุงก้นปล่องกัด โดยเปิดเผนสถานการณ์มาลาเรียในไทย จากรายงานของระบบเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-5 เม.ย. พบว่า คนไทยป่วยแล้ว 2,444 คน (ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) เป็นชาวต่างชาติ 2,169 คน การแพร่เชื้อส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่ชายแดนไทย พม่า ลาว และกัมพูชา
จังหวัดที่พบผู้ป่วยมาลาเรียมากที่สุดมี 22 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี ตราด ชลบุรี ระยอง ชุมพร เพชรบุรี ราชบุรี ระนอง ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สุราษฎร์ธานี และสงขลา
สำหรับสถานการณ์มาลาเรียทั่วโลก มีการแพร่เชื้อมาลาเรียใน 104 ประเทศ แต่ละปีมีผู้ป่วยประมาณ 300 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตราวๆ 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
ขณะที่ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า ยุงก้นปล่องเป็นพาหนะนำโรคมาลาเรีย ยุงชนิดนี้สามารถบินได้ไกลประมาณ 1 ก.ม. แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงจะพบได้ในบริเวณภูเขาสูง ป่าทึบ สวนยางพารา แหล่งน้ำธรรมชาติ เขาชันลาดเอียงมีลำธารน้ำไหล
หลังจากยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียกัดและปล่อยเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของคน ราว 10 – 14 วัน หลังรับเชื้อจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่นสลับร้อน เหงื่อออก รู้สึกสบายแล้วกลับมาเป็นไข้ใหม่อีกครั้ง หากคนใกล้ตัวมีอาการดังกล่าว ให้รีบไปเจาะเลือดตรวจหาเชื้อมาลาเรียทันที เพื่อมิให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง อาทิ มาลาเรียขึ้นสมอง น้ำตาลในเลือดต่ำ ปัสสาวะสีดำ ไตทำงานล้มเหลว ปอดบวมน้ำ เป็นต้น
แม้ว่า กทม.จะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายการแพร่ระบาดของโรคโดยตรงแต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะหากเดินทางไปในแหล่งแพร่พันธุ์ยุงมา ก็อาจถูกกัดได้โดยไม่รู้ตัว รู้เท่าทันแล้วกันไว้ดีกว่า
ที่มา : หนังสือพิมพ์เอ็มทูเอฟ
