ใครจะแบก ‘ความเสี่ยง’ ร่วมกับเกษตรพันธสัญญา

พบเกษตรกรโดนกดขี่ กว่า10ปี ชีวิตยังไม่ดีขึ้น

 

 ใครจะแบก ‘ความเสี่ยง’ ร่วมกับเกษตรพันธสัญญา

          โครงการคุ้มครองการพัฒนารูปแบบสัญญาที่เป็นธรรมฯ

 

          ความเสี่ยงที่เกิดจากการเดินเข้าสู่ระบบพันธสัญญา เป็นด้านมืดอีกด้านหนึ่งที่เกษตรกรไทยจำนวนมากไม่เคยรับรู้มาก่อน ทำอย่างไรที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อเฉลี่ยความเสี่ยงที่เกิดจากการผลิต หรือเกิดจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ให้เป็นธรรมระหว่างบริษัทและเกษตรกร

 

          เกิดคำถามที่ต้องหาข้อเท็จจริงมายืนยันว่าทิศทางภาคเกษตรของประเทศ และอนาคตเกษตรกรไทยฝากที่ระบบเกษตรพันธสัญญาแน่หรือ และจากข้อค้นพบของงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของโครงการฯ การคำนวณต้นทุนในการลงทุนกับผลตอบแทนของเกษตรพันธสัญญา พบว่าเป็นการประกอบการที่ลงทุนสูง มีความเสี่ยงสูงมาก และค่าตอบแทนต่ำไม่คุ้มกับการลงทุน

 

          สัญญาที่ไม่เป็นธรรม

 

          ต้นปีที่ผ่านมามีเกษตรกรจากตำบลท้ายตลาด จ.ลพบุรี ลงทุนซื้ออุปกรณ์เครื่องมือสำหรับการเลี้ยงเป็ดจากบริษัทคู่สัญญา ต่อมาบริษัทได้แจ้งว่าเลิกกิจการ ไม่มีการรับผิดชอบต่อเงินลงทุนของเกษตรกร

 

          ทางออกเกษตรกรจึงหันไปเลี้ยงไก่แทน แต่ยังมีฟาร์มหลายแห่งที่เป็นฟาร์มร้างมากว่า 3 เดือน ไม่มีไก่ให้เลี้ยง หรือบางฟาร์มได้รับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้เลี้ยงไก่ไม่โต ทั้งที่เกษตรกรต้องจ่ายค่าอาหารไก่ที่แพงกว่าท้องตลาด

 

          ส่วนสัญญาที่บริษัททำกับเกษตรกร ระบุให้บริษัทมีอำนาจเหนือตลาดในเกือบทุกขั้นตอน นับตั้งแต่ปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์/เมล็ดพันธุ์ ยา/ปุ๋ย อาหาร จนถึงการมีอำนาจเหนือตลาดของผลิตผล ซึ่งทำให้บริษัทสามารถกำหนดราคาตั้งแต่ต้นทาง คือ การจัดหาพันธุ์และอื่นๆ ไปจนถึงปลายทาง คือ การกำหนดราคารับซื้อผลิตผลคืน รวมทั้งกำหนดราคาขายในตลาดภายในประเทศ จากการผูกขาดเช่นนี้ เกษตรกรแทบจะไม่สามารถต่อรองเปลี่ยนแปลงแก้ไขในข้อกำหนด หรือเงื่อนไขของสัญญาได้แต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

          นอกจากนั้นการกำหนดระยะเวลาการส่งมอบปัจจัยการผลิต รวมทั้งคุณภาพของปัจจัยการผลิต เช่น อาหาร และ/หรือยารักษาโรคที่เหมาะสม ก็ล้วนถูกกำหนดจากฝ่ายบริษัท ทำให้เกษตรกรอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องทุนในการซื้อปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น ขณะที่บริษัทยังคงได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการขายปัจจัยการผลิต ซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อเกษตรกร และเกษตรกรก็ไม่สามารถที่จะต่อรอง เปลี่ยนแปลงหรือกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ให้เกิดความเป็นธรรมต่อตนเองได้

 

          ในการเลี้ยง เกษตรกรทุกคนยอมรับว่าต้องเฝ้าระวังและดูแลอย่างใกล้ชิด ทุ่มเทเวลา เพื่อลดความเสี่ยงที่ไก่ตายหรือเลี้ยงไม่ได้ตามเกณฑ์น้ำหนัก อีกทั้งเกษตรกรไม่อาจรวมตัวกันได้เพราะจากการถูกแบ่งแยกออกจากกัน โดยทุกบริษัทไม่ให้เกิดการรวมกลุ่ม หากมีการรวมกลุ่มขึ้นเกษตรกรจะถูกตำหนิ และถูกลงโทษด้วยการไม่ให้ดำเนินการผลิตต่อ และอาจขึ้น “บัญชีดำ” ต่อเกษตรกร เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่เกษตรกรไม่สามารถจะรับได้

 

          ข้อมูลจากตัวเลขรายได้ของฟาร์มในพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เดือนเมษายน 2552 เกษตรกรที่เลี้ยงไก่ประมาณ 5,000 ตัวมีรายได้จากการเลี้ยงไก่ประมาณ 45 วัน มีรายได้เท่ากับ 329,582.56 บาท หักค่าใช้จ่าย 313,910 บาท ผลตอบแทนคงเหลือ 15,972.56 บาท (ไม่ได้หักค่าไฟ, ค่าแรง และดอกเบี้ยจากการกู้เงินในแต่ละเดือน) รายได้ที่ได้มีตัวเลขใกล้เคียงกับฟาร์ม บวกลบคูณหารรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 5 พันบาท ซึ่งรายได้จำนวนเท่านี้โอกาสเสี่ยงขาดทุนสูงมาก

 

          เกิดภัยธรรมชาติ เกษตรกรล้มละลาย

 

          ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในภาวะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก ความรุนแรงของโรคระบาด ภาวะโลกร้อน ฯลฯ ยังไม่มีกฎหมายฉบับใดที่จะช่วยรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

 

          จากบทเรียนราคาแพงของบริษัทมันฝรั่งพ่นพิษ เมื่อเกษตรกรจำนวนกว่า 49 ครัวเรือนในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 3 ตำบล ได้แก่ ต.บ้านโป่ง, ต.สันทราย และ ต.แม่แวน เกษตรกรต้องปลูกมันฝรั่งให้ได้ตามสัญญา หากผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหายตามที่บริษัทกำหนดไว้

 

          เมื่อฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน น้ำท่วมในพื้นที่ปลูกมันฝรั่ง บริษัทเรียกร้องให้เกษตรกรจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ศาลแพ่งร่วมกับกรมบังคับคดีได้ทำการเจรจาไกล่เกลี่ย บริษัทได้ยินยอมดอกเบี้ยและลดเงินต้น 20% ส่วนที่เหลือเกษตรกรต้องชดใช้คืนกับบริษัท เพราะเกษตรกลัวบริษัทยกเลิกการปลูกมันฝรั่ง ทำให้เกษตรกรไม่สามารถคืนเงินกู้ที่นำมาลงทุนได้

 

          ยังมีเกษตรกรอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีความเข้าใจถึงความเสี่ยงเหล่านี้ รวมถึงวิธีป้องกันความเสี่ยง เกษตรกรต้องรับภาระมีมูลค่าการลงทุนระดับสูงนับล้านบาท ถ้าเกษตรกรไม่มีความพร้อมจะทำให้มีโอกาสขาดทุนได้โดยง่าย เมื่อเกษตรกรต้องผ่อนชำระเงินลงทุนให้แก่สถาบันการเงิน

 

          ปัจจัยสำคัญที่มีความเสี่ยงต่อการขยายรายได้ เกษตรกรขาดความรู้เรื่องการบริหารต้นทุนของบัญชีฟาร์ม รับภาระเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจากปัจจัยการผลิต, ขาดความรู้เรื่องสัญญา, ไม่สามารถต่อรองกับบริษัทผู้รับซื้อ ฯลฯ

 

          จากการศึกษาพบว่า เกษตรกรหลายรายแม้จะอยู่ในระบบเกษตรพันธสัญญามาหลายสิบปี แต่ความเป็นอยู่ไม่ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน บางคนมีหนี้สินเป็นจำนวนมากจะประกอบอาชีพอื่นแต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากเงินทุนที่ได้กู้ยืมมาอยู่ในระดับสูง ระบบเกษตรพันธสัญญามีความเสี่ยงสูงที่จะประสบกับความขาดทุน ถึงเวลาหรือยังที่ภาครัฐบาล ภาคธุรกิจและภาคสังคมอื่นๆ ควรจะมีนโยบายที่ถูกต้องกับระบบเกษตรพันธสัญญา เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมมากขึ้น

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

Update 21-07-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code