โรคฉี่หนู….ภัยไม่ไกลตัว
ที่มา : สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
แฟ้มภาพ
โรคฉี่หนูเป็นโรคที่ติดได้จากสัตว์หลายชนิด แต่พบมากในหนู นอกจากนี้ยังมีสุนัข โค กระบือ สุกร แพะและแกะ ซึ่งส่วนมากสัตว์ที่ไวต่อการรับเชื้อจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุน้อย หรือลูกสัตว์ที่ไม่เคยได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่มาก่อน มักจะระบาดในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นฤดูฝนต่อหนาวและมีน้ำท่วมขัง
โรคฉี่หนูเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นเชื้อที่ชอนไชไปตามผิวหนังตามเยื่อบุผิวต่างๆ เช่น ปาก จมูก หรือตา โดยเฉพาะผิวหนังที่เป็นแผล เป็นโรคที่มีความรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ อาการของรายที่รุนแรงจะมีอาการตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ ถึงแม้จะฆ่าเชื้อได้ แต่อวัยวะจะไม่กลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ นี่คือความรุนแรงของโรคดังกล่าว ดังที่นายแพทย์ พิทยา ไพบูลย์ศิริ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อธิบาย
“ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับน้ำ ไปแช่น้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน ซึ่งตัวเชื้อนี้มาจากปัสสาวะของหนู ดังนั้นต้องระวังการที่เราไปแช่น้ำนานๆ ทำให้ผิวหนังเราอ่อนนุ่ม อาจทำให้เชื้อชอนไชเข้าไปได้หรือว่าถ้าเราเป็นแผล สิ่งที่ดีที่สุด คือการป้องกันโดยการสวมรองเท้า สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด หรือถ้าไม่มีรองเท้าบูท ไม่สะดวก อาจใช้ถุงพลาสติกก็ได้ นำมาครอบเพื่อไม่ให้เชื้อเข้าไปได้ ไม่ให้สัมผัสกับน้ำที่มีเชื้อ เพราะฉะนั้นเรื่องของการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เชื้อนี้จะตายในอุณหภูมิสูง”
นายสมชาย หาวิถี อายุ 51 ปี เป็นชาวอำเภออุทัย มีอาชีพรับจ้างก่อสร้าง เคยป่วยและเข้ารับการรักษาโรคฉี่หนู เมื่อปี 2559 เนื่องเพราะลงไปในคลองเพื่อเก็บผักบุ้งเป็นอาหาร จากนั้นประมาณ 2 วัน พบว่าตนเองมีอาการไข้และหนาวสั่น เบื้องต้นคิดว่าเป็นไข้ธรรมดา จากนั้นไปพบแพทย์ทำการรักษาต่อเนื่องใช้เวลาไปประมาณ 5-6 วันจึงพบว่าเป็นโรคฉี่หนู
“ฉี่จะเป็นสีเหลือง พอฉีดยา พอกินยา ครบกำหนดแล้วมันก็ค่อยๆ จาง ก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะผมผอมลงไปเยอะเลย แต่พอหลังๆ ก็เริ่มดีขึ้นทีละหน่อย ประมาณร่วมหนึ่งเดือนได้ กว่าที่ผมจะฟื้นกลับตัวมาเป็นปกติ เวลาเราจะลงน้ำ ว่ายน้ำ เวลาฝนตกมันแฉะ จะลุยน้ำลุยท่าอะไรก็ต้องคอยระวัง เพราะหนูมันมีเยอะตามชายคลอง มีสะสมเยอะ ในน้ำก็เป็นนะ มันไหลมาตามน้ำ จะลงน้ำลงอะไรก็ฝากให้ระวังกันด้วย”
โรคที่เกิดในช่วงฤดูฝน นอกจากโรคฉี่หนูแล้ว โรคที่พบมากที่สุด คือโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีอัตราผู้ป่วยสูงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของระดับเขต ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ฉีดวัคซีนป้องกันมาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ไปสิ้นสุดในวันที่ 31 สิงหาคม โดยจะเน้นฉีดในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด จะมีปอดไม่ค่อยแข็งแรง หรือโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
การเฝ้าระวังหรือการดูแลผู้ป่วยถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญของกระทรวงสาธารณสุขที่คอยดูแลเอาใจใส่พี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อความอยู่ดีมีสุขและเพื่อความสำเร็จของนโยบายรัฐบาลนั่นเอง