โครงการรากฟันเทียม เพื่อคนไทยมีสุขภาพช่องปากที่ดี
ที่มา : มติชน
กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดโครงการ “ฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567” เพื่อให้ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปากได้รับการใส่ฟันเทียม และรากฟันเทียม ช่วยให้สามารถรับประทานอาหารได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งเป้าใส่ ฟันเทียม 72,000 คน และฝังรากฟันเทียม 7,200 คน ในเวลา 2 ปี
ทั้งนี้ นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ สธ. กล่าวว่า สธ. ได้สืบสานโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ในการแก้ปัญหาให้ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปาก ให้ได้รับฟันเทียมทั้งปากแก่คนไทยทุกสิทธิมาตั้งแต่ปี 2548 และเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระชนมายุ 72 พรรษา ในปี 2567 สธ.จึงได้ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต จัดทำโครงการดังกล่าว เพื่อให้ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปากได้รับฟันเทียม และรากฟันเทียม สามารถรับประทานอาหารได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยโครงการนี้มีเป้าหมายใส่ฟันเทียม จำนวน 72,000 คน และฝังรากฟันเทียม จำนวน 7,200 คน ในระยะเวลา 2 ปี คือ ปี 2566-2567 ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการฝังรากฟันเทียม ซึ่งเป็นที่ยึดเกาะของชุดฟันเทียม เนื่องจากรากฟันเทียมที่มีคุณภาพดี เช่น จากยุโรปมีอัตราค่าบริการรากละ 55,000-100,000 บาท และในเอเชียมีอัตราค่าบริการ รากละ 25,000-40,000 บาท
นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า สธ.ได้ขับเคลื่อนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะการบริการด้านสุขภาพช่องปาก โดยพัฒนาระบบการดูแลเรื่องการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งขณะนี้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังมีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก 270,000 ราย ซึ่งอยู่ในสิทธิประโยชน์ทุกสิทธิ ทั้งบัตรทอง สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันสังคม ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อรับบริการได้ที่โรงพยาบาล (รพ.) ชุมชน รพ.ทั่วไป และ รพ.ศูนย์ทุกแห่ง ของ สธ. ส่วนการฝังรากฟันเทียมรองรับฟันเทียมทั้งปาก เป็นเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง เพื่อเพิ่มคุณภาพการใช้งานฟันเทียมทั้งปากให้แน่นขึ้น มีความจำเป็นประมาณร้อยละ 10 ของผู้ใส่ฟันเทียมทั้งปาก ขณะนี้มี รพ.ที่มีความพร้อม มีทันตแพทย์สามารถให้บริการได้ใน รพ.ประมาณ 180 แห่งทั่วประเทศ
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สุขภาพช่องปากเป็นปัญหาที่ยังคงพบได้สูงในคนไทยทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะวัยทำงานตอนปลายและผู้สูงอายุ หากโรคในช่องปากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เด็ก และมีการสะสมโรค จะทำให้ปัญหามีความรุนแรงซับซ้อนขึ้น จนนำไปสู่การสูญเสียฟัน ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพระดับประเทศทุก 5 ปี ของกรมอนามัย พบว่า ผู้สูงอายุ 60-74 ปี มีฟันแท้เฉลี่ย 18 ซี่ต่อคน และเมื่ออายุ 80-85 ปี ลดลงเหลือเพียง 10 ซี่ต่อคน และมีผู้สูงอายุ ที่สูญเสียทั้งปาก ร้อยละ 8.7 โดยบางส่วนได้รับการใส่ฟันเทียมไปแล้ว
“การสูญเสียฟันทั้งปาก ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สุขภาพร่างกาย และคุณภาพชีวิตชัดเจน กรมอนามัยจึงได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพช่องปากที่ดี มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ควบคู่กับการสื่อสารผ่านเครือข่ายแกนนำชุมชน เพื่อนำไปสู่การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี สามารถดูแล เฝ้าระวังอนามัยช่องปากตนเอง และเข้ารับบริการเมื่อจำเป็น เพื่อเก็บรักษาฟันให้ ใช้งานได้ตลอดชีวิต” นพ.สุวรรณชัยกล่าว
ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ โดยสถาบันทันตกรรม เป็นหน่วยประสานการดำเนินงานรวมถึงพัฒนาศักยภาพทันตบุคลากรในสถานพยาบาลทุกระดับ ซึ่งบุคลากรกลุ่มนี้หาก ได้รับการเพิ่มศักยภาพในการฝังรากฟันเทียม จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการให้กับประชาชนได้อย่างครอบคลุม และสะดวกมากขึ้น โดยจะมีการจัดบริการใส่ฟันเทียมและรากฟันเทียม ในสถานพยาบาลทุกระดับในเขตสุขภาพต่างๆ และหน่วยงานเครือข่ายบริการ จำนวน 301 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยที่ได้รับบริการไปแล้วได้อย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้สูงอายุให้มีฟันเทียม และรากฟันเทียมที่สามารถใช้งานได้ดี กินข้าวได้อร่อย
เพื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป สมดังปณิธานของกรมการแพทย์ที่ว่า “ทำดีที่สุดเพื่อทุกชีวิต”ศ.พิเศษ ทพญ.ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ผู้อำนวยการ หน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า ปี 2546 รัชกาลที่ 9 ได้มีกระแสพระราชดำรัสว่า “คนเราเวลาไม่มีฟัน กินอะไรก็ไม่อร่อย ทำให้ไม่มีความสุข จิตใจก็ไม่สบาย ร่างกายก็ไม่แข็งแรง” หน่วยทันตกรรมพระราชทานจึงสนองกระแสพระราชดำรัส โดยพัฒนาให้มีการใส่ฟันเทียม ในหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ และพระราชทานรถใส่ฟันเทียมเคลื่อนที่คันแรกของประเทศไทย ต่อมาในปี 2547 พบว่า ผู้สูงอายุสูญเสียฟันทั้งปากจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปากถึง 300,000 คน ซึ่งส่งผลต่อการเคี้ยว กัด กลืนอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ทั้งด้านกายภาพ อารมณ์ และสังคม แต่ขณะนั้น สามารถใส่ฟันเทียมทั้งปากได้เฉพาะ รพ.ขนาดใหญ่บางแห่งเท่านั้น รวมแล้วจัดบริการใส่ฟันเทียมทั้งปากทั้งประเทศได้ปีละ 2,000 ราย หน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ร่วมมือกับ สธ. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินงานโครงการฟันเทียมพระราชทานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยกรมอนามัยเป็นหน่วยประสานการดำเนินงาน ทั้งพัฒนาระบบบริการ ระบบส่งต่อ และพัฒนาศักยภาพทันตแพทย์ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ทุก รพ.สามารถใส่ฟันเทียมทั้งปากได้ เฉลี่ยปีละกว่า 35,000 ราย รวมตั้งแต่ปี 2548 ผู้สูงอายุ ได้รับการใส่ฟันทั้งปากแล้วรวม 720,000 ราย
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สปสช. ตระหนักถึงปัญหาผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันให้ได้รับการดูแล รวมถึงผู้ที่อายุต่ำกว่า 60 ปี ที่จำเป็นต้องใส่ฟันเทียม
จึงได้บรรจุบริการฟันเทียม ทั้งกรณีการใส่ฟันเทียมทั้งปากและการใส่ ฟันเทียมบางส่วนที่ถอดได้ เป็นสิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ข้อมูลบริการฟันเทียม ปี 2564 มีประชาชน ที่เข้ารับบริการใส่ฟันเทียมทั้งปากแบบถอดได้ และบริการใส่ฟันเทียมบางส่วนแบบถอดได้ จำนวนทั้งสิ้น 62,717 คน แต่การใส่ฟันเทียมในผู้ป่วยบางราย เป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีฟันมาเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่ง สันกระดูกขากรรไกรส่วนล่างแบน จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดใส่รากฟันเทียมที่มีค่าใช้จ่ายสูงเพื่อยึดติดฟันเทียม ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ได้อนุมัติเพิ่มเติม
สิทธิประโยชน์การผ่าตัดใส่รากฟันเทียมสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันทั้งปากที่มีข้อบ่งชี้ และมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2565 ให้กับคนไทยที่มีภาวะดังกล่าว