“แฮปปี้ เอสเอ็มอี” มิติใหม่องค์กรสร้างสุข
ทรัพยากร “คน” ถือว่ามีความสำคัญที่จะนำความสำเร็จมาสู่ทุกองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจ smes ที่ต้องดูแลคนให้มีความสุข เพื่อสร้างให้ธุรกิจเข้มแข็ง
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) และมหาวิทยาลัยหอการ ค้าไทย ร่วมกันแถลงข่าว “happy smes มิติใหม่การสร้างสุขในองค์กรธุรกิจ smes”
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันสถานประกอบการเป็นธุรกิจเอสเอ็มอี (smes) กว่า 3 ล้านกิจการ คิดเป็น 97 เปอร์เซ็นต์ ของกิจการทั้งหมด มีการจ้างงานกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจทั้งหมด การเสริมสร้างเอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็ง จึงเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีส่วนใหญ่เป็นกิจการภายในครอบครัว ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ “คน” แต่ยังพบว่าเอสเอ็มอีจำนวนมากขาด การบริหารทางด้านนี้ มีปัญหาการเข้าออก ของพนักงานในอัตราสูง อายุกิจการเฉลี่ยสั้น ความสามารถในการแข่งขันต่ำ ที่สำคัญต้องเผชิญกับความยากลำบากในการปรับตัวรอง รับการเปลี่ยนแปลงจากการเปิดเสรีการค้า ซึ่งกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างกิจการ
ผู้จัดการ สสส. บอกต่อว่า ดังนั้น สสส.ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ทำโครง การสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน happy smes โดยเริ่มต้นในปี 2554 มีจำนวน 10 องค์กร รวบรวมแนวคิด และวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ประสบความสำเร็จ คนในองค์กรมีความสุข เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเข้มแข็ง
“ก้าวที่ 2 ต่อจากนี้ ได้รับความร่วมมือจากบริษัท เนชั่นฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะหา ให้ได้ 100 องค์กรภายในปี 58 มาเป็น happy smes โดยไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรใหญ่ แต่ขอให้เป็น เอสเอ็มอีที่มีความสุข” ทพ.กฤษดากล่าว
ด้าน ผศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกถึงการต่อยอดของโครงการ ว่า โครงการนี้ต้องยกเครดิตให้กับ สสส. โดยธุรกิจที่เป็นเอสเอ็มอีจะต้องใช้ คนต่างชาติทำอย่างเดียวหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาเคยเห็นคนไทยทำธุรกิจเอสเอ็มอี แล้วประสบความสำเร็จ มีความสุขด้วย จึงทำโครงการนี้ในเฟสแรกได้มา 10 บริษัท ซึ่งความรู้ต่างๆ ของ smes ต้องผสมผสานกันกับธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย
คณบดีคณะบริหารบอกอีกว่า โครงการนี้ดำเนินงาน 2 ระยะ ระยะแรก ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ธ.ค.2554 ระยะที่ 2 เดือน ก.ย.2555- มี.ค.2558 เน้นการคัดสรรองค์กรต้นแบบที่วัดจากการดำเนินงานตามหลัก triple bottom line หรือ 3ps ได้แก่ 1.คน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข จำนวนเข้า-ออกของพนักงานต่ำ 2.ผลประกอบการทางธุรกิจ ผู้มีส่วนได้-เสียในธุรกิจ พอใจการดำเนินงานร่วมกันกับองค์กร พร้อมสนับสนุนให้เกิดความมั่นคง ช่วยเหลือยามเกิดวิกฤต และ 3. สภาพแวดล้อม มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะความเข้มแข็งของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ได้วัดกันด้วยตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ที่ดี และปรับตัวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้
ขณะที่ภาคเอกชนได้เข้ามาร่วมมือในการช่วยนำเสนอเรื่องราวผ่านทางสื่อต่างๆ บอกเล่าเทคนิคการบริหารจากในตำรา และประสบการณ์ตรงของเถ้าแก่ ควบคู่กับแนวคิด happy workplace ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในองค์กร
นายกานต์ ไตรทอง เจ้าของบริษัท มีฟาร์มสุข (ไม่) จำกัด ผู้ประกอบการ smes ที่ค้าข้าวเกษตรอินทรีย์ ที่ประสบความสำเร็จ ก็มาร่วมแชร์เรื่องราวการทำธุรกิจให้มีความสุขอย่างยั่งยืน
กานต์ บอกว่า ทำธุรกิจปลูกข้าว เพราะชอบอาชีพชาวนา เป็นอาชีพของบรรพบุรุษของภรรยา โดยเรียนรู้จากอาจารย์คนหนึ่งที่ทำนาแบบปลอดสารพิษ เรียนรู้อาชีพเกษตรกร จนมีโรงเรียนชาวนา สร้างเครือข่ายชาวนา เปิดอบรมผู้ที่สนใจ อยากใช้ชีวิตแบบนี้ และอบรมชาวนาให้มีความรู้
“เราต้องกล้าออกจากกรอบก่อน แล้วจะพบว่าไม่ยากเลย การแบ่งปันความสุขให้คนอื่นๆ นั้น เริ่มตั้งแต่ตั้งบริษัท คิดว่าความสุขแบ่งปันกันได้ ก็เลยเป็นที่มาของการผลิตข้าวให้คนกิน มอบความสุขให้คนอื่นๆ สร้างเครือข่ายชาวนามีสมาชิก มาทำนาปลอดสารพิษ โดยร่วมมือกับโรงเรียน และวัด วันเสาร์-อาทิตย์ ก็จ้างเด็กนักเรียนมาพับถุงใส่ข้าว ให้โอกาสกับเด็กๆ และพร้อมให้คำแนะนำต่างๆ กับผู้ที่สนใจ ให้ความรู้ทั่วประเทศ เพราะผมคิดว่าเงินไม่เท่ากับความสุขที่ได้รับ” ผู้ประกอบการค้าข้าวกล่าว
หากทำธุรกิจเอสเอ็มอีด้วยใจและความสุขจากภายในแล้ว เชื่อว่าไม่นานความสำเร็จจะตามมา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด โดย ณัฐพงษ์ บุณยพรหม