แม่ครูนุ้ย จักสานไม้ไผ่ขด

แม่ครูนุ้ย จักสานไม้ไผ่ขด

กลุ่มที่ 1 จากลำไผ่สู่ชิ้นงาน จักสานสร้างรายได้

จากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ กลายเป็นมรดกตกทอดมาสู่ อรทัย วงค์อนุกูล หรือแม่ครูนุ้ย ที่มีประสบการณ์ด้านการทำจักสานไม้ไผ่ขดมากว่า 30 ปี แม่ครูนุ้ยเป็นผู้จัดตั้งกลุ่มจักสานไม้ไผ่ขด เพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาให้คนในชุมชนได้มีอาชีพและรายได้เสริม ปัจจุบัน สมาชิกแต่ละครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 6,000 บาท จากต้นทุนไม้ไผ่ 200 บาท นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ขดรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มมูลค่าเป็น 2,000 บาท ในเวลานี้มีส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ผลตอบรับดี จนผลิตสินค้าไม่ทัน

นอกจากนี้ แม่ครูนุ้ยได้จัดตั้งกลุ่มจักสานไม้ไผ่ขดขึ้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ถ่ายทอดไปสู่เยาวชน ผู้สูงอายุ กลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจชุมชนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ชุมชนสามารถอยู่ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความเสียสละของแม่ครูนุ้ย ที่มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่เก็บภูมิปัญญาไว้เพียงตัว

กลุ่มที่ 2 ต่อลมหายใจให้ไม้ไผ่ขด

การทำเครื่องจักสานไม้ไผ่ขดเป็นภูมิปัญญาของไทยเขินแห่งล้านนา มีความชำนาญด้านการทำหัตถกรรมจักสานที่มีเอกลักษณ์ ปัจจุบันหาผู้มีความรู้ด้านนี้ยากขึ้นทุกที และหนึ่งในนั้นคือ อรทัย วงค์อนุกุล หรือแม่ครูนุ้ย 

แม่ครูนุ้ยเรียนรู้การทำไม้ไผ่ขดจากครอบครัวของสามี เป็นภูมิปัญญาเฉพาะในเครือญาติ ประกอบกับลูกหลานได้แยกย้ายไปทำอาชีพอื่น ทำให้ไร้ผู้สืบทอดหัตถกรรมที่ทรงคุณค่านี้ แม่ครูนุ้ยจึงเกิดความคิดที่จะถ่ายทอดภูมิปัญญาให้เป็นที่รู้จัก จึงรวมกลุ่มจัดตั้ง กลุ่มจักสานไม้ไผ่ขด ขึ้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2544 เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน  นอกจากนี้ ยังทำให้คนในชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเยาวชนได้มีอาชีพ และรายได้เสริม ทั้งแม่ครูนุ้ยเองยังเป็นวิทยากรเผยแพร่ความรู้สู่วัด โรงเรียน สถานพินิจฯ และองค์กรต่างๆ ที่มีความสนใจ

กลุ่มที่ 3 ไม่สิ้นไร้ (เพราะ)ไม้ตอก

จากอดีตนักมวยหญิง หรือเด็กขับรถซิ่งที่ใครๆ ต่างรู้จักกิตติศัพท์ ในวันนี้กลายมาเป็นผู้สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำจักสานไม้ไผ่ขด นั่นคือชีวิตของ อรทัย วงค์อนุกูล หรือที่เด็กๆ และชาวตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ต่างรู้จักกันในนาม “แม่ครูนุ้ย” อดีตของแม่ครูนุ้ยไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไป ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ตั้งแต่ซิ่งมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงต่อยมวย ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อได้มาเป็นครู ที่นอกจากแก่นสารในชีวิตแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ได้พบกับสามี ทำให้ต้องลาออกจากอาชีพครู แล้วหันไปดูแลครอบครัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาการทำจักสานไม้ไผ่ขดจากแม่สามี

ในช่วงแรกที่ลองทำนั้น แม่ครูนุ้ยพบว่า งานนี้เป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข กระทั่งมีการเข้ามาศึกษาดูงาน ก็เริ่มมีการติดต่อเพื่อนำสินค้าส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ต่อมามีต่างชาติติดต่อเพื่อทำการขอจดลิขสิทธิ์ แต่แม่ครูนุ้ยเห็นว่า ภูมิปัญญานี้เป็นของคนไทย ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง จึงเกิดแนวคิดทำการสืบทอด โดยตั้งกลุ่มจักสานไม้ไผ่ขดขึ้น เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 โดยเริ่มจากการนำผู้สูงอายุในหมู่บ้านมารวมกลุ่มกัน และสอนเด็กๆ ที่มีความสนใจ   ปัจจุบันกลุ่มของแม่ครูนุ้ยมีสมาชิกทั้งหมด 50 คน

นอกจากนี้ป้านุ้ยยังเป็นวิทยากรประจำแหล่งเรียนรู้ และนับเป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่มีจิตอาสา ด้วยตั้งใจพัฒนา ช่วยให้คนในท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองได้ และถ่ายทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้คงอยู่สืบไป

กลุ่มที่ 4 สาวแก๊งค์มอเตอร์ไซต์ซิ่ง สู่แม่ครูเพชรล้านนา

อรทัย วงค์อนุกูล หรือที่เรียกกันติดปากว่า แม่ครูนุ้ย ได้รับการยกย่องให้เป็น “เพชรราชภัฎ เพชรล้านนา” เมื่อปี 2552 ด้วยเป็นผู้ที่อนุรักษ์ และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น การจักสานไม้ไผ่ขด ซึ่งกว่าจะมาเป็นแม่ครูในวันนี้ มีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจ ด้วยก่อนนี้เคยเป็นเด็กสาวแก็งค์มอเตอร์ไซค์  

ในช่วงวัยรุ่นได้ใช้ชีวิตไปกับการซิ่งมอเตอร์ไซค์ ชกมวย ด้วยไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ชีวิตสู่จุดพลิกผัน เมื่อได้เจอกับชายคนหนึ่ง ผู้กลายมาเป็นคู่ชีวิต โดยแม่ครูนุ้ยเริ่มเรียนรู้การทำจักสานไม้ไผ่ขดจากแม่สามี การจักสานไม้ไผ่ขดเป็นเครื่องไทยเขินสำหรับสักการบูชาทางภาคเหนือ ปัจจุบันทั้งคนไทย และต่างชาตินิยมนำมาเป็นของตกแต่งภายในบ้าน

แต่เดิมแม่สามีของครูนุ้ยหวงวิชามาก จะถ่ายทอดให้แก่คนในครอบครัวเท่านั้น ทำให้มีผู้รู้การทำจักสานไม้ไผ่ขดน้อย แม่ครูนุ้ยเห็นว่า การเรียนรู้รุ่นต่อรุ่นในครอบครัว อาจทำให้ภูมิปัญญาดังกล่าวสูญหายได้ จึงอยากถ่ายทอดให้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทั้งที่สามารถจดลิขสิทธิ์สินค้าไม้ไผ่ขดให้เป็นของตนเพียงผู้เดียว แต่แม่ครูนุ้ยกลับเลือกที่จะเป็นผู้ให้ที่เสียสละ

กว่า 30 ปีที่ผ่านมา แม่ครูนุ้ยได้ถ่ายทอดประสบการณ์การทำจักสานไม้ไผ่ขดให้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ขาดรายได้ เยาวชนในสถานพินิจ และผู้ที่สนใจทั่วไป จนประสบความสำเร็จในวันนี้ ทำให้เราเห็นว่า อดีตที่ไม่ชอบเรียน เกเรนั้นไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบัน ที่เราได้ทำอะไรเพื่อสังคมและชุมชนบ้าง เพราะคนสามารถเปลี่ยนได้ เขาคนนั้นอาจเป็นกำลังสำคัญที่รังสรรค์สิ่งดีๆ ดังเช่นที่แม่ครูนุ้ยทำไว้

 

 

ที่มา : เว็บไซต์ปันสุข
Shares:
QR Code :
QR Code