แพทย์เตือน! “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ” อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงโรคร้าย

ที่มา : TNN

ปกข่าว แพทย์เตือน! “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ” อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงโรคร้าย

                    รศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกจากศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เตือน! ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติโดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า อย่านิ่งนอนใจ อาจเป็นสัญญาณเกิดโรคร้ายได้

                    โรคเหงื่อมือ-เท้า อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก โดยปกติในช่วงฤดูร้อนเมื่ออากาศร้อนร่างกายของเราจะขับเหงื่อออกมาเพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย แต่สำหรับบางคนการมีเหงื่อออกมากเกินความจำเป็นและเกิดขึ้นตลอดเวลาจะไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของร่างกาย แต่เรามักเรียกว่า “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)”  ซึ่งในหลายกรณีเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

                    รศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกจากศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า ประเภทของภาวะเหงื่อออกมากผิดปกตินั้นแบ่งเป็น ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติแบบปฐมภูมิ (Primary Focal Hyperhidrosis) จะมีลักษณะเหงื่อออกมากเฉพาะจุด เช่น ที่มือ รักแร้ และเท้า ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีโรคอื่นเกี่ยวข้อง อีกประเภทหนึ่งคือ ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติแบบทุติยภูมิ (Secondary  Hyperhidrosis) จะมีลักษณะเหงื่อออกมากร่วมกับภาวะทางสุขภาพอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง (Hypertension) หรือ ไทรอยด์เป็นพิษ( Hyperthyroidism)

                    ซึ่งใครที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้ เช่น มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติแบบปฐมภูมิ จะพบได้ประมาณ 1-3 %  ของจำนวนประชากร และพบในเด็กชายและเด็กหญิงเท่าๆ กัน อาการโดยรวมมักจะเริ่มแสดงในวัยเด็กหรือวัยรุ่น อาการของภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติแบบปฐมภูมินี้ มักจะมีเหงื่อออกมากอย่างต่อเนื่องในบริเวณที่ได้รับผลกระทบที่เหงื่อออกตลอดเวลา ยกเว้นตอนนอนและอาการจะแย่ลงเมื่ออยู่ในที่อากาศร้อนหรือเมื่อเด็กเครียด

                    ตำแหน่งที่พบมากสุดคือ มือและเท้า โดยเด็กส่วนใหญ่มักสังเกตเห็นอาการครั้งแรกเมื่อเหงื่อออกที่มือเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เขียนหนังสือลำบาก จับกระดาษหรือของใช้แล้วเปียกเหงื่อ หรือใช้หน้าจอสัมผัสโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆ ยากขึ้น และเริ่มรู้สึกอายเมื่อต้องใช้มือหรือเท้าร่วมทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ

                    ซึ่งการรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติสามารถรักษาได้ตั้งแต่เด็กโดยมีทางเลือกในการรักษาหลายวิธี ได้แก่

  1. การใช้ยาทาภายนอก
  2. การใช้ยารับประทาน
  3. การฉีดโบท็อกซ์ (Botox)
  4. การใช้กระแสไฟฟ้าต่ำเพื่อรักษา (Iontophoresis)
  5. การผ่าตัด (Sympathectomy)  เป็นการตัดเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณไปยังต่อมเหงื่อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ (เป็นทางเดียวที่หายขาดได้)
  6. การผ่าตัดในปัจจุบัน !! เราสามารถผ่าตัดผ่านกล้องเล็กเหลือแผลมีขนาด 2-3 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นแผลเป็น เพื่อทำให้ฟื้นตัวไวและกลับมาใช้ชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
Shares:
QR Code :
QR Code