แนะพ่อแม่เลี้ยงลูกเชิงบวก
ที่มา : เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
"เด็กทุกคนเกิดมาเป็นเจ้าชายเจ้าหญิง จนกระทั่งเราเปลี่ยนเขาไปเป็นกบ ด้วยการเลี้ยงดูเชิงลบ ด้วยคำสั่ง ด้วยการบังคับ ต่าง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่กำหนดให้ลูกต้องเชื่อฟัง เพียงเพราะรักและหวังดีกับลูก จึงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้คิดและตัดสินใจเอง เจ้าหญิงเจ้าชายน้อย ๆ จึงกลายร่างไปเป็นกบ แล้วเด็กจะเติบโตไปเป็นคนที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในสังคมได้อย่างไร"
หนึ่งในข้อคิดสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ในการเลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโตอย่างมีความสุข โดย พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี ในงาน "1 วันสร้างสุขให้ลูกเปลี่ยน ปี 3" ซึ่งจัดโดย โครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดี (Nestle for Healthier Kids) เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องการเลี้ยงดูเด็กด้วยแนวทางที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ด้านพัฒนาการสมองของมนุษย์ พร้อมจุดประกายให้พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กร่วมกันเป็นต้นแบบเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมเชิงบวกให้กับเด็กอายุ 3-12 ขวบ เพื่อเป็นรากฐานไปสู่การเติบโตที่เข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และสัมพันธภาพที่ดีภายในครอบครัวอย่างยั่งยืน
พญ.จิราภรณ์ กล่าวว่า การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าพ่อแม่เข้าใจพัฒนาการและกระบวนการทำงานทางสมอง เด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถคิด วิเคราะห์ ตีความคำพูดหรือคำสั่งที่ซับซ้อนจากผู้ใหญ่ได้ ดังนั้น พ่อแม่จึงควรสื่อสารความต้องการออกไปตรง ๆ หลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง เช่น "ห้าม" "ไม่" หรือ "อย่า" ซึ่งให้ความหมายตรงข้ามกับความต้องการที่แท้จริงของเราและยากเกินที่เด็กจะทำความเข้าใจได้ เช่น เมื่อเราสั่งลูกว่า "อย่ากระโดดบนโซฟา" เด็กส่วนใหญ่จึงไม่หยุดพฤติกรรม พ่อแม่จึงควรเลือกใช้คำพูด เช่น "ลงมานั่งบนโซฟาดีกว่าลูก" หรือตั้งคำถามให้เด็กได้ฝึกคิดเอง เช่น "โซฟาไว้ใช้ทำอะไรนะลูก?" แทน ซึ่งจะสื่อสารกับลูกได้ผลกว่า
สมองส่วนเอาตัวรอดซึ่งพัฒนามากที่สุดในช่วงวัยเด็ก เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญต่อรากฐานพฤติกรรมเด็กในอนาคต พญ.จิราภรณ์ อธิบายว่า เมื่อพ่อแม่ดุ กดดัน หรือตีลูก เด็กจะแสดงปฏิกิริยาป้องกันตัวเอง 3 แบบ ได้แก่ สู้ หนี หรือ ยอมแพ้ ซึ่งทั้งสามปฏิกิริยาล้วนมีส่วนสำคัญในการสร้างนิสัยที่ไม่เหมาะสมในระยะยาว เช่น ถ้าสู้บ่อย ๆ ก็ทำให้เด็กมีความก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง ถ้าสมองส่วนเอาตัวรอดต้องพยายามหาทางเพื่อหนีไม่ให้ถูกลงโทษบ่อย ๆ จะทำให้เด็กโตขึ้นมามีนิสัยปฏิเสธที่จะทำอะไรที่ลำบาก โกหก ปกปิดความผิด ส่วนเด็กที่สมองส่วนเอาตัวรอดต้องยอมแพ้บ่อย ๆ จะเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ ขาดความมั่นใจ นำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ เป็นต้น
"การสื่อสารเชิงบวก จึงเป็นการพูดคุยกับลูกด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ตั้งเป้าหมายให้ลูก "รับฟัง" ไม่ใช่ "เชื่อฟัง" เพราะการที่ลูกกล้าที่จะขัดแย้งกับเรา และเราเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็นของเขาเอง จะเป็นการปลูกฝังให้ลูก "คิดเป็น" แล้วลูกจะเติบโตไปเป็นคนที่สามารถอยู่รอดในสังคมได้"
พญ.จิราภรณ์ กล่าวและว่า ขณะเดียวกันพ่อแม่ควรเป็นต้นแบบในการปลูกฝังให้ลูกมี "Growth Mindset" ที่มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทายและเชื่อว่าทุกคนสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้จากความพยายามและตั้งใจ ส่วนความผิดพลาดถือเป็นบทเรียนเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเองต่อไป ซึ่งจะต่างจากแนวคิดแบบ Fixed Mindset ที่เอาความสำเร็จผูกติดกับผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและเชื่อว่าความล้มเหลวคือความผิดพลาด เพราะทัศนคติเช่นนี้จะสร้างความกดดันและความเครียดให้กับเด็ก
ด้านอาจารย์รณสิงห์ รือเรือง นักจิตวิทยาคลินิก ระดับชำนาญการพิเศษ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จังหวัดเชียงใหม่ แนะเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขว่า ด้วยธรรมชาติของเด็ก เมื่อถูกขัดใจจะเกิดความทุกข์ขึ้นทันที ดังนั้น วิธีในการเลี้ยงลูกให้มีความสุข คือให้ตามใจอย่างมีกฎเกณฑ์ คือต้องฝึกให้ลูกคุ้นชินกับรูปแบบกิจวัตรประจำวัน 3 ขั้นตอน (ส่วนรวม-ส่วนตัว-ความสุข) นั่นคือให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบน้อยที่สุด ลำบากที่สุด หรือเป็นเรื่องส่วนรวมก่อน แล้วจึงตามด้วยสิ่งที่ชอบภายหลัง จะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะมีน้ำใจ รู้จักการรอคอย และเห็นคุณค่าของความสุข เช่น ถ้าเราปล่อยให้ลูกเล่นมือถือซึ่งเป็นความสุขของเด็กก่อน การจะหาวิธีเบี่ยงเบนให้เด็กเงยหน้าจากจอมือถือแล้วไปทำการบ้านหรือช่วยทำงานบ้านนั้นจะกลายเป็นเรื่องยาก และยังส่งผลให้เด็กแสดงอาการโกรธหรือไม่พอใจออกมาเมื่อถูกขัดใจ แต่การฝึกให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ยากหรือลำบากก่อน เช่น ช่วยรดน้ำต้นไม้ หรือทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วจึงให้เล่น นอกจากจะเป็นการฝึกระเบียบวินัยให้กับเด็กแล้ว ยังจะทำให้เด็กเห็นคุณค่าของความพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข และที่สำคัญ พ่อแม่ต้องไม่ลืมที่จะพูดหรือแสดงพฤติกรรมเชิงบวกให้เห็นเป็นตัวอย่างบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กเรียนรู้และทำตาม เพราะสำหรับเด็กวัยนี้แล้ว พ่อแม่คือต้นแบบที่สำคัญที่สุดของลูกเสมอ