แนะนำผู้ปกครอง ผอ. ครู ป้องกันโรคมือเท้าปาก
ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
แฟ้มภาพ
จังหวัดสระแก้วแนะนำผู้ปกครอง ผู้บริหารสถานศึกษา และครู ป้องกันโรคมือเท้าปาก
นายพรพจน์ เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เปิดเผยถึงกรณีโรคมือเท้าปาก ว่า ในช่วงหน้าฝนโรคมือเท้าปากมักจะเกิดการระบาดมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีปัจจัยเสริม ได้แก่ อากาศเย็นและความชื้น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่โรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็ก สถานที่เล่นของเด็กในห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่อยู่ร่วมกันอย่างแออัด ซึ่งโรคมือเท้าปากนั้น เกิดขึ้นประปรายตลอดปี แต่จะเพิ่มการระบาดมากขึ้นในช่วงฤดูฝน จังหวัดสระแก้ว จึงแนะความรู้ ความเข้าใจเพื่อป้องกันอันตรายจากโรคมือเท้าปาก ดังนี้ การแพร่กระจายของเชื้อโรคและติดต่อ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เด็กได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ปากโดยตรงโรคจะแพร่ติดต่อได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย โดยมีเชื้อไวรัสติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย และเกิดจากการไอจามรดกัน โดยจะหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของผู้ป่วย อาการของโรค หลังจากได้รับเชื้อ3 – 6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการป่วย เริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1 – 2 วัน มีอาการเจ็บปาก กลืนน้ำลายไม่ได้ และไม่ยอมทานอาหารเนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือกและกระพุ้งแก้ม จะพบตุ่มหรือผื่นนูนสีแดงเล็ก ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นด้วย ตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส บริเวณรอบๆ อักเสบและแดง ต่อมาตุ่มจะแตกเป็นแผลหลุมตื้นๆ อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติ ภายใน 7 – 10 วัน การรักษา โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ
แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาทาแก้ปวด ในรายมีแผลที่ลิ้นหรือกระพุ้งแก้ม อย่างไรก็ตาม โรคจะไม่รุนแรง และไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เอนเทอโรไวรัส 71 อาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ ดังนั้น จึงควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมทานอาหารหรือน้ำดื่ม อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง ชัก จะต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเกิดภาวะสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ สำหรับผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูเด็ก ควรเช็ดตัวเด็กเพื่อลดไข้เป็นระยะ และให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำและน้ำผลไม้และนอนพักผ่อนมากๆ ถ้าเป็นเด็กอ่อนอาจต้องป้อนนมให้แทนการดูดจากขวด แนวทางการป้องกันโรค โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัย ผู้ปกครองควรแนะนำบุตรหลานและผู้เลี้ยงดูเด็กให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ (ก่อนและหลังเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร ภายหลังการขับถ่ายหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม หลังการดูแลเด็กป่วย) ตัดเล็บ ให้สั้น หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน (เช่น ขวดนม แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ) และใช้ช้อนกลาง สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล จัดให้มีอ่างล้างมือและส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกต้องวิธีการควบคุมโรค หากพบเด็กป่วย ต้องรีบแยกเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านประมาณ 5 – 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่นสระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรอยู่ในที่ที่มีการระบายถ่ายเทอากาศได้ดี ใช้ผ้าปิดจมูกปากเวลาไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย กรณีมีเด็กป่วยจำนวนมาก
โรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กต้องดำเนินการ ดังนี้ ปิดห้องเรียนที่มีเด็กป่วยหรือปิดทั้งโรงเรียนชั่วคราว (ประมาณ 5–7 วัน) ทำความสะอาดสถานที่ เพื่อฆ่าเชื้อโรค บริเวณห้องน้ำ ห้องส้วม สระว่ายน้ำ ครัว โรงอาหาร บริเวณที่เล่นของเด็ก สนามเด็กเล่น โดยใช้ผงซักฟอก หรือสบู่ทำความสะอาดก่อนแล้วตามด้วยน้ำยาฟอกขาว ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้าง/เช็ด/แช่ ด้วยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง ทำความสะอาดของเล่น เครื่องใช้ของเด็กด้วยการซักล้างแล้วผึ่งแดดให้แห้ง หยุดใช้เครื่องปรับอากาศ เปิดม่านให้แสงแดดส่องให้ทั่วถึง สำหรับเด็กที่อยู่ในวัยอนุบาล จะต้องมีการฝึกวินัยล้างมือ ให้สะอาดทุกครั้ง จะเป็นวิธีหนึ่งที่ป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสได้ดี ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองหรือคุณครู จะสอนให้เด็กๆ ล้างมือที่นานพอจะเจือจางเชื้อไวรัสได้มากที่สุด