"แกนนำพอเพียง"ชวนทำดีถวายพ่อหลวง
เพื่อน้อมนำปรัชญาเศรษกิจพอเพียงมาปรับใช้ด้วยความเข้าใจก่อนปฏิบัติ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. จัดพิธีปิดค่าย “พลังเด็กและเยาวชนกับการขับเคลื่อนประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพิ่มศักยภาพแกนนำสภาเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การมีสุขภาวะที่ดีในกลุ่มเด็กและเยาวชน ณ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านบางพลับ ต.บางพรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม
สุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ การที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก มีการแข่งขันโดยวัตถุบริโภคนิยม อาจจะทำให้เด็กไม่ได้ใช้วิจารณญาณ ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ไตร่ตรอง หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของโลก เราจึงเริ่มที่แกนนำสภาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด นักเรียนทุนการศึกษาพระราชทานฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และเด็กและเยาวชนในเครือข่ายของเรา เนื่องจากเป็นเด็กที่มีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงต่อไปได้
สุวรรณี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเราเป็นสังคมผู้สูงอายุ จากนี้ไปถึงปี 2569 ประชากรจะสูงสุดอยู่แค่ 66 ล้านคน หลังจากนั้นจะลดลงเรื่อยๆ คนหนุ่มสาวจะลดลงแต่คนสูงอายุจะมากขึ้น ถ้าเราไม่ทำให้เด็กเป็นผู้ที่รู้จักคิด วิเคราะห์โดยใช้ข้อมูล ให้คนมาดึงไปตามกระแสคนเล่นโซเชียลมีเดียโดยไม่มีการกลั่นกรอง เป็นเรื่องที่น่าตกใจ ดังนั้น สิ่งที่พระองค์พระราชทานมาเป็นการป้องกันตัวเอง แต่เรากลับไม่ได้ใช้ เรามีแต่ท่องแล้วไม่เข้าใจ ไม่ปฏิบัติ สำคัญต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง และในไม่ช้าเราจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น ตลาดใหญ่ สำหรับประชากร 600 ล้านคน เพราะประชาคมอาเซียนทำให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน การไปมาหาสู่กันโดยไม่มีข้อจำกัด ดังนั้น เราต้องเข้าใจวัฒนธรรมประเพณี ของแต่ละชาติให้ลึกซึ้ง เด็กไทยต้องเตรียมตัวหลายเรื่อง ต้องหาพันธมิตร สสส.ไปดูเรื่องสภาเด็ก และเยาวชนระหว่างประเทศ ทำให้มีพันธมิตรเกิดความเข้าใจกัน เกิดความเป็นพี่เป็นน้องกัน และที่สำคัญเราต้องตื่นตัวเรื่องภาษา เพราะภาษาอังกฤษจะเป็นภาษากลางของทั้ง 10 ประเทศ
“ทิศทางหลังจากนี้ เด็กและเยาวชนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เราต้องการให้กลับไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง หากสามารถเขียนข้อเสนอโครงการที่ต้องการให้มูลนิธิฯ สนับสนุนเราก็ยินดี เพราะถือว่าให้เด็กทำตามกำลังของตนเอง แต่ที่สำคัญต้องเป็นความคิดของเขาเอง ไม่ใช่เกิดจากการทำตามๆ กัน และเขาก็จะเป็นตัวอย่างให้คนในโรงเรียนในชุมชน ทั้ง 77 จังหวัด สภาเด็กและเยาวชนเขามีหลักสูตรของเขาเองอยู่แล้ว แต่เรามาเติมเต็มเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไป เพราะเขามีฐานในการเป็นจิตสาธารณทำเพื่อส่วนรวม เราจึงอยากนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้เขาไปประเมินตนเอง ได้รู้จักตนเอง ต้องมีคุณธรรม รู้จักประมาณตน อีกสิ่งหนึ่งที่อยากฝากให้กับทุกคนคือขอให้กลับไปศึกษาโครงการในพระราชดำริฯ ที่สอนเราจะทำสิ่งใดจะเริ่มจากการหาข้อมูลทุกครั้ง คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน หลายคนบอกว่าเกิดมาก็เหลื่อมล้ำแล้ว อย่าไปคิดอย่างนั้น อย่าคิดว่าเป็นความด้อยโอกาส โอกาสเรามีแต่อยู่ที่ว่าเราสู้หรือไม่” สุวรรณี กล่าว
ขณะที่ ชัยวัฒน์ เชิดบำรุง ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนแกนนำสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จากนโยบายข้อที่ 5 ของสภาเด็กฯ นั้นเรามีแนวทางส่งเสริมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และใช้หลักการบริหารงานในองค์กรบนหลักการของความพอเพียงอยู่แล้ว แต่เมื่อได้มีโอกาสมาเรียนรู้ที่ อ.อัมพวาเพิ่มเติม ทำให้ได้เห็นรูปแบบการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ที่ไม่เพียงแสดงถึงความพอเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความมั่นคงและยั่งยืน เพราะความพอเพียงที่นำเอาสิ่งที่อยู่ในชุมชนมาใช้ มาผลิต นำมาสร้างรายได้ต่อ โดยหลังจากนี้ตนจะนำไปบอกต่อในเชิงนโยบายขององค์กรเพราะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงนั้นสามารถนำมาปรับใช้ได้ในทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต จึงอยากเชิญชวนน้องๆ เยาวชนน้อมนำแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ เริ่มต้นจากหลักการง่ายๆ ที่การออมและรู้จักความพอประมาณ เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์กับตนเองแล้วยังช่วยลดภาระครอบครัวได้
ด้านจินต์จุฑา ศรีสงค์ นักเรียนทุนการศึกษาพระราชทานฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กล่าวว่า ตนเองรับทราบเรื่องของหลักหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาตั้งแต่อยู่ในระดับประถมศึกษา แต่ยอมรับว่าเป็นการรู้แบบท่องจำ หากใครถามก็ตอบได้ แต่ไม่เข้าใจหลักปฏิบัติอย่างแท้จริง และเชื่อว่าเป็นหลักที่นำไปใช้กับเกษตรกรเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจึงทำให้มีความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น และทุกคนสามารถทำได้ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อได้เข้ามาเรียนรู้ที่มหาวิชชาลัยฯ ได้เห็นวิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้าน จึงทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าการบริหารจัดกาทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่นให้คุ้มค่า เน้นความยั่งยืน ถ้าเราสามารถบริหารจัดการได้ประโยชน์ต่างๆ ก็จะตามมา นอกจากเห็นเรื่องความพอเพียงแล้วคือเรื่องสามัคคีที่มีผลต่อการทำงานเป็นทีมมาก เพราะหมู่บ้านจะเข้มแข็งคนต้องสามัคคี หากผู้นำชุมชนแนะนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และหมู่บ้านไม่เข้มแข็ง ชาวบ้านไม่สนใจก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่ที่นี่มีความสามัคคีกันอย่างมาก
จินต์จุฑา กล่าวว่า “เมืองไทยโชคดีอย่างมากที่เรามีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นต้นแบบของการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ พระองค์ทรงรักประเทศไทยและพสกนิกรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นในหลวงองค์เดียวที่ทำงานหนักที่สุด เพราะความเป็นพ่อที่รักลูก รักประชาชน หาสิ่งดีๆ ให้กับพสกนิกรชาวไทย เป็นความหวังดีของพ่ออย่างแท้จริง อยากเห็นคนไทยมีความสุขและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ปรารถนา เพื่อนำไปต่อสู้กับประเทศอื่นได้ ดังนั้น อยากให้พสกนิกรชาวไทยตระหนักถึงคำที่พ่อสอน นอกจากจะแสดงออกโดยการถวายพระพรแด่พระองค์ท่านแล้ว ก็อยากให้ทุกคนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาปฏิบัติใช้ เพราะเชื่อว่าหากพวกเราทำได้ พระองค์ท่านคงจะมีความสุข”
“แนวคิดนี้เป็นของพระองค์ท่าน ที่พระองค์ทรงปรารถนาอย่างมาก ที่จะเห็นประชาชนไทยมีความสุข มีความรู้และพึ่งพาตนเองได้ โดยเฉพาะก่อนเข้าอาเซียน เพราะหากเราพึ่งพาได้จากความรู้ที่เรามี คนไทยก็จะกินดีอยู่ดี นั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการ การปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ เป็นการตอบแทนพระองค์ด้วย และตัวหนูเองก็จะนำเรื่องราวที่ได้ทั้งหมดนี้ไปบอกพ่อหนู คำว่าพอดีเป็นทางสายกลาง หนูเองก็จะทำให้พ่อเห็น จะเริ่มจากสิ่งรอบๆ ตัวของหนู เช่น เสื้อผ้าเก่าก็ซ่อมแซมให้ใช้งานได้เป็นการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ” จินต์จุฑากล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ