เอตทัคคะเรียนรู้แก่นธรรม ด้วยเรื่องเล่าของพุทธบริษัท 4
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
เชื่อว่าในแต่ละวันที่ต้องเผชิญเรื่องวุ่นๆ และสิ่งเร้าที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน หลายคนอาจเคยคิดอยากมีเครื่องมือ ตั้งสติเพื่อใช้รับมือกับปัญหาต่างๆ แต่หลายคนก็ลืมไปเช่นกันว่า จริงๆ แล้วนั้น เราทุกคนมี "อาวุธ" ทางใจนี้อยู่ใกล้ตัว มาโดยตลอด
อีกโอกาสดีของการสร้างสุขภาวะ ทางปัญญา หาวัคซีนคุ้มกันใจกลับมาอีกครั้ง เมื่อยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ(สสส.)จัดงาน "เอตทัคคะ และพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา" ปี 2 เชิดชูพุทธบริษัท 4 นำเรื่องราว บุคคลในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา 11 ท่าน มาถ่ายทอดหวังสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต น้อมนำหลักธรรมยึดปฏิบัติ ในช่วงภาวะว้าวุ่นเช่นปัจจุบันนี้
สำหรับผลการจัดงาน "เอตทัคคะและพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา" ที่จัดขึ้นเป็นปีแรกในปี 2563 ซึ่งจัดต่อเนื่องถึง 9 ครั้ง มีผู้ให้ความสนใจมาร่วมงานถึง 1,913 คน และยังได้เผยแพร่ผ่าน สื่อออนไลน์ต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงสาธุชนทั่วไปกว่า 300,000 คนทางโซเชียลมีเดีย ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook และ Youtube
ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้ยุวพุทธิสมาคมแห่งประเทศไทยใน พระบรมราชูปถัมภ์ เดินหน้าจัดธรรมบรรยาย ประวัติและปฏิปทาพระอริยสาวก ในพระพุทธศาสนาอีกครั้ง
โดยครั้งนี้จะเป็นการแสดงธรรมจากพระอาจารย์ จำนวน 5 ครั้ง ซึ่งยังได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์รับอาราธนามาเป็นองค์แสดงธรรม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติของพระอริยสาวก อาทิ พระเทพศากยวงศ์บัณฑิต (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) พระเมธีวชิรโสภณ (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) พระครูบวรวีรวงศ์ (ครรชิต อกิญจโน) พระครูปลัด สัมพิพัฒนศีลาจารย์ (ครรชิต คุณวโร) พระสมทบ ปรักกโม พระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ ดร.สุภีร์ ทุมทอง และ อ.ธนา เตรัตนชัย
มรกต ศรีแสงนาม ประธานโครงการเอตทัคคะและพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จัดงาน "เอตทัคคะ และพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา" ปีที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องไม่เพียงเพื่อ เฉลิมฉลองในโอกาสที่ยุวพุทธิกสมาคม แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ครบรอบ 70 ปี และก้าวย่างสู่ปีที่ 71เท่านั้น
แต่การนำเรื่องราวชีวประวัติของ เหล่าพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนาเป็นชีวิตที่น่าศึกษาและสามารถเรียนรู้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่ต้องการแบบอย่างที่ดี
ด้วยความหวังว่าการนำเรื่องราว ของผู้เป็นเลิศในด้านต่างๆ แบบอย่างที่ดี ทางพุทธศาสนาจะช่วยจุดประกายให้เยาวชนและผู้สนใจได้มีโอกาสใกล้ชิด หลักธรรมคำสอนและน้อมนำข้อธรรม เหล่านี้ไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ไม่มากก็น้อย
"เอตทัคคะ" ซึ่งแปลว่า ที่สุดประเสริฐ ความยอดเยี่ยมยิ่ง ความเป็นเลิศ ความชำนาญเฉพาะ ถือกันว่าเป็นตำแหน่ง ทางพระพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องประทานแต่งตั้งให้พุทธบริษัท 4 คือบุคคลถึง 4 กลุ่ม ซึ่งไม่จำกัดแต่ ภิกษุและภิกษุณี ทว่าคนธรรมดาที่เป็น "อุบาสก " และ "อุบาสิกา" ที่น่ายึดถือเป็นแบบอย่าง ต่างล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ยอดเยี่ยมในด้านนั้นๆ ซึ่งมีทั้งหมด 74 ท่าน
คำว่า "เอตทัคคะ" [เอ-ตะ-ทัก-คะ] ถือกันว่าเป็นตำแหน่งทางพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาทรงประทานแต่งตั้งให้ พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมในด้านนั้นๆ เป็นตำแหน่งเฉพาะบุคคล ที่พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งรูปเดียวเท่านั้น แม้จะมีท่านอื่นๆ มีความรู้ความสามารถ ในด้านเดียวกันก็จะไม่ทรงแต่งตั้งขึ้นมาอีก
"ในฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ที่ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะนั้น ล้วนแต่เป็น พระอรหันตขีณาสพทั้งสิ้น เว้นแต่ พระอานนท์เพียงรูปเดียวที่เป็นพระโสดาบัน ต่อเมื่อพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว ท่านจึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วน ในฝ่ายอุบาสก มีตั้งแต่พระโสดาบันถึง พระอนาคามี เว้นตปุสสะกับภัลลิกะ สองพ่อค้าที่มิได้บรรลุมรรคผลใด ๆ ในส่วนอุบาสิกานั้น ทุกท่านล้วนแต่เป็น พระโสดาบันทั้งสิ้น" มรกต อธิบาย
ดังหากเปรียบง่ายๆ ผู้เป็นเลิศ เหล่านี้ไม่ต่างกับไอดอล หรือ "ต้นแบบ" ที่วัยรุ่นยุคสมัยนี้ได้รับอิทธิพล เป็น แบบอย่างหรือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
"ปีนี้ทางโครงการฯได้คัดเลือกเรื่องราว ขององค์เอตทัคคะและพระอริยสาวก 11 องค์คือพระมหาโมคคัลลานะ พระปุณณ-มันตานีบุตร พระรัฐบาลเถระ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ พระอานนท์ พระสีวลี พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี พระปฏาจาราเถรี อนาบิณฑิกะเศรษฐี นางสุชาดา และพระยสเถระ พระอรหันตสาวกองค์ที่ 6 ของพระพุทธศาสนา" มรกตกล่าวเพิ่มเติม
พร้อมบอกเล่าถึงแนวคิดการคัดเลือกหัวข้อที่นำมา เป็นชีวประวัติของเอตทัคคะหลากหลายท่านว่า มีทั้งเรื่องดีเลว บาป ความผิดหวัง มีความในใจเหมือนมนุษย์ทั่วไป มีความอยากได้ มีความรักโลภ โกรธหลง และยังปิดท้ายด้วยข้อธรรม องค์พระพุทธเจ้า โดยทางสมาคมฯพยายามคัดเลือกให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ ตอบโจทย์ผู้ฟังทุกกลุ่ม
"อย่างใครเชื่อเรื่องกรรมก็กลุ่มหนึ่ง มีทั้งกลุ่มที่สนใจแค่ผิวเผินไปจนถึงกลุ่มที่ต้องการศึกษาลึกซึ้ง" เธอกล่าว
"Behind the scenes คือเราพยายามคัดสรรที่จะให้เกิดความหลากหลาย เพื่อให้ข้อธรรมที่ได้ยินได้ฟังเป็นเรื่องสนุก น่าสนใจและนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ เนื่องจากสังคมทุกวันนี้คนเราคงมีโอกาสน้อยที่จะได้เสพอะ.ไรแบบนี้ ซึ่งเรามองว่าเยาวชนรุ่นใหม่อย่างน้อยก็ได้ยินได้ฟัง แง่คิดที่น่าสนใจต่างๆ ผ่านเรื่องราวสนุกสนานที่ดูเป็นเรื่องใกล้ตัว"
"จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วตลอด เพียงแต่เราไม่เลือก ที่จะนำมาใช้ หรืออาจเพราะเมื่อก่อนเราได้เรียนรู้จากการสอน มองเป็นการสั่งสอน ซึ่งดูไกลตัว"
มรกตเอ่ยว่า แม้มุมมองศาสนา เป็นมุมมองที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่ทำอย่างไรจะมีโอกาสได้นำไปใช้ และเพื่อให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคสมัยนี้ ที่ชอบอะไรที่เข้าถึงได้ทันที การเผยแผ่ ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วยตามกลุ่มเป้าหมาย
"อย่างปัจจุบันด้วยไลฟ์สไตล์คนเรา และสถานการณ์โควิด-19 เราก็ปรับตัว เป็นออนไลน์มากขึ้น ให้สอดคล้องตาม ยุคสมัยและสถานการณ์สังคม ซึ่งก็ถือว่า เป็นข้อดีเพราะสะดวกในการเข้าถึง เพราะการปฏิบัติธรรม เมื่อเข้าใจ หลักปฏิบัติแล้ว หลักศาสนาแล้ว อยู่ที่ไหนก็ทำได้"
"ยุคโควิด-19 ทำให้เราเห็น ความตายเป็นเรื่องปกติและจริงมากขึ้น เป็นสิ่งที่เตือนให้เราเข้าใจหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวอยู่เสมอว่า เธอจงทำมรณานุสติในทุกขณะ"
ด้านเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมศาสนา กล่าวถึงมุมมองการจัดกิจกรรมนี้ว่าเป็นโครงการที่มีจุดดีทั้งในแง่ การได้ร่วมส่งเสริมพระพุทธศาสนา และยังมีภาพลักษณ์ที่เหมาะสมในด้าน การจัดงาน เนื่องจากแม้ว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบเหตุการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก ได้ แต่ก็ทราบว่ามีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วม กิจกรรมทั้งที่สมาคมฯและผ่านช่องทางออนไลน์จำนวนมากและเนื่องจากปีนี้ สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
โดยทางกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้จัดกิจกรรมได้ ทางยุวพุทธิกสมาคมแห่ง ประเทศไทยฯ จีงได้จัดงานภายใต้มาตรการเวันระยะห่างอย่างเคร่งครัด สำหรับกิจกรรมนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาแก่ประชาชน ที่มีความสนใจ ซึ่งมองว่าเป็นประโยชน์ เพราะเป็นโอกาสให้เด็ก และเยาวชนได้รับความรู้จากหลักธรรมต่างๆ ในกิจกรรมนี้
พูดคุยกับคนร่วมงานครั้งแรก ปรีชา เสนีย์สถาพร และ พวงชมพู เสนีย์สถาพร คุณปู่และหลานสาววัย 5 ปี คุณปู่เล่าว่าเดิมทราบข่าวจากภรรยาว่าจะมีงานนี้ จึงเกิดความสนใจ ตั้งใจมาฟังคนเดียว แต่หลานสาวเกิดความสนใจขอตามมาด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์มาฟังแสดงธรรม เป็นครั้งแรกของหลานสาว
"เป็นความสนใจของหลานสาวอยู่แล้วเขาเคยเอ่ยปากอยากนั่งสมาธิ แต่ติดที่ยังต้องไปเรียน และตื่นเช้า พอได้มาฟังแล้วหลานเขาก็ดูสนใจนะ แต่เขายังเด็กไป บางจุดอาจยังไม่เข้าใจความหมาย หรือไม่รู้จักคำศัพท์หรือความหมายบางอย่าง ก็ตั้งใจว่าจะพาเขามาฟังบ่อยๆ อยากให้ เขาซึมซับ ฝึกความมีจิตใจอ่อนโยน"