“เสพติดเกม” ต้นเหตุ…อาการจิตเวชในเด็ก
ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ
แฟ้มภาพ
ผลการสำรวจการใช้งาน Social Media ในรอบหลายปีที่ผ่านมา พบว่า คนไทยยังคงครองแชมป์การใช้งาน Social Media สูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ติดอันดับโลกของการใช้เฟซบุ๊กต่อเนื่องกันนานกว่า 5 ปี
แต่ที่น่าตกใจไปกว่าการใช้เฟซบุ๊กของคนไทย คือ การติดเกมของเด็กไทย ที่ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในเอเชียไปแล้ว โดยพบว่า เด็กไทยเล่นเกมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าวันละ 3.2 ชั่วโมง ในจำนวนนี้ 10–15% มีอาการเสพติดเกมออนไลน์ขั้นรุนแรง ไม่สามารถหยุดเล่นได้
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต บอกว่า ปัญหาเด็กติดเกมเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะเด็กทุกคนที่เล่นเกมมีความเสี่ยง “เสพติดเกม” ซึ่งเป็นปัญหาพฤติกรรมเสพติดทางสมอง เช่นเดียวกับ “ติดสารเสพติด”
“จากการเก็บข้อมูลที่ผู้ปกครองโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาปัญหาเรื่องลูกติดเกม พบว่า สิ่งที่ตามมาหลังการติดเกม ก็คือ เด็กมีปัญหาด้านสุขภาพจิต ทั้งเรื่องของความเครียด อารมณ์แปรปรวน มีปัญหาการเรียนตกต่ำ ผลการเรียนแย่ลงอย่างชัดเจน พัฒนาการไม่สมวัย มีพฤติกรรมก้าวร้าวใช้ความรุนแรงเลียนแบบเกม ยังไม่รวมความเสี่ยงของการเกิดโรคร่วมทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล รุนแรงถึงขั้นโรคจิตเวช และฆ่าตัวตาย”
อธิบดีกรมสุขภาพจิต บอกด้วยว่า เด็กที่เสพติดเกมมีความเสี่ยงต่อการเป็นผู้ก่ออาชญา กรรม หรือตกเป็นเหยื่อของอาชญากร โดย เฉพาะเสี่ยงต่อการติดการพนันจากเกม มีข้อมูลว่า เด็กที่ติดเกมมีความเกี่ยวข้องกับการพนันมากกว่า 27% และมีปัญหาฆ่าตัวตายจากเกม 4-5% ไม่รวมปัญหาครอบครัวประมาณ 14 % และปัญหาความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัวอีกประมาณ 9 %
“ในช่วงปิดเทอมนี้ อยากให้สังเกต บุตรหลานว่ามีพฤติกรรมติดเกมหรือไม่ เช่น ห่างเหินจากครอบครัวและเพื่อน เหม่อลอย วิตกกังวล อารมณ์เปลี่ยนแปลง ขึ้นๆลงๆและมักจะระเบิดอารมณ์ แสดงความโกรธและก้าวร้าว เมื่อพูดไม่ถูกใจ บ่นว่า เบื่อ บ่อยๆ และรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ดูซึม เศร้า หลับยาก หรือคิดจะทำ ร้ายตนเอง ถ้ามีอาการเข้าข่าย ลักษณะนี้ ให้สงสัยได้เลยว่าลูกหลานกำลังเสี่ยงต่อการเสพติดเกมขั้นรุนแรงแล้ว”
คุณหมอบุญเรือง บอกว่า ช่วงปิดเทอม เป็นช่วงที่พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นห่วงมาโดยตลอด ว่าลูกจะติดเกมมากเกินไป เพราะมีเวลาว่างมาก จากสถิติผู้ป่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาพฤติกรรมเสพติดเกมเข้ามารับบริการที่คลินิกจิตเวชวัยรุ่นและศูนย์บำบัดเด็กติดเกม สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ปี 2559-2560 มีประมาณ 41 ราย ทั้งหมดได้รับการบำบัดรักษาต่อเนื่องด้วยยาทางจิตเวช การทำจิตบำบัดรายบุคคลและครอบครัวบำบัด โดยอาการที่เข้ามารับการบำบัด ได้แก่ การมีปัญหาการเรียน ผลการเรียนตก มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงที่สัมพันธ์กับการเลียนแบบเกมที่รุนแรง ปัญหาเด็กถูกหลอก ถูกล่วงละเมิดทางเพศผ่านคนแปลกหน้าที่รู้จักแค่ในเกมออนไลน์หรือแชทไลน์ ทั้งนี้ เด็กที่เล่นเกมตั้งแต่เด็กๆ จะส่งผลกระทบชัดเจนกับการพัฒนาความคิด สมาธิ ความจำ ความอดทนพยายาม ปัญหาการเรียน เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ปัญหาทั้งหมดจะรุนแรงขึ้น เริ่มเห็นชัดในเรื่องของปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ก้าวร้าว รุนแรงหุนหัน พลันแล่น
“การเล่นเกมนานเกินกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเกม 2.5 เท่า การเล่นเกมนานเกินกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา จะเพิ่มความเสี่ยงติดเกม 1.8 เท่า โดยอาการเริ่มต้นของการติดเกม คือ เล่นเกมนานๆ และนานขึ้นเรื่อยๆ และมักจะเสียอารมณ์ทุกครั้งที่พ่อแม่บอกให้เลิก”
อธิบดีกรมสุขภาพจิต แนะนำว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบ ไม่ควรให้เล่นเกมโดยเด็ดขาด ขณะที่เด็กอายุระหว่าง 3-6 ขวบ ควร เล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการศึกษา และต้องมีผู้ปกครองควบคุม เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป สามารถเล่นเกมอื่นๆได้ตามที่กำหนดไว้สำหรับเด็กแต่ละวัย โดยควรหลีกเลี่ยงเกมที่มีความรุนแรง อายุ 13 ปีขึ้นไป หลีกเลี่ยงเกมที่มีเนื้อหาความรุนแรงมากเกินไป เช่น ฉากต่อสู้นองเลือด และห้ามเล่นเกมที่มีการวางแผนฆ่าศัตรู เพศสัมพันธ์ คำหยาบคาย การพนัน และยาเสพติด นอกจากนี้ ในวันธรรมดา ถ้าจะเล่นเกมต้องน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่วันหยุด อาจใช้เวลาเล่นเกมได้มากขึ้น แต่ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และไม่ควรเล่นต่อเนื่องนานเกินกว่าชั่วโมง
“ในการเล่นเกมต้องรู้เท่าทันเกมและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา โดย เฉพาะเด็กวัยรุ่น ไม่ควรเล่นเกมออนไลน์ที่มีลักษณะทีมผู้เล่นหลายคน ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่นัดพบกับคนแปลกหน้าที่รู้จักผ่านเกมออนไลน์ ควรบอกพ่อแม่เมื่อพบสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ เช่น ถูกข่มขู่ คุกคาม รีดไถ การซื้อของในเกม ที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความอันตรายที่จะมาสู่ตนเองและครอบครัวได้” คุณหมอบุญเรือง บอก พร้อมกับทิ้งท้ายว่า สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรติดตามพฤติกรรมการใช้เงินของลูก สถานที่ร้านเกมแถวบ้าน โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ ไม่อนุญาตให้เล่นเกมในห้องส่วนตัว ไม่ควรเล่นเกมก่อนทำการบ้าน ก่อนเข้านอน โดยอาจจะชวนลูกทำกิจกรรมสร้างสรรค์แทน เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือเป็นจิตอาสา เป็นต้น.