เรื่องเล่าจากโลกมืด

กิตติทร สุดประเสริฐ

 

เรื่องเล่าจากโลกมืดQue sera sera…สิ่งใดจะเกิดมันก็ต้องเกิด

 

What will be will be…อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

 

ประโยคฮิตจากโฆษณาชิ้นหนึ่งที่สะท้อนความจริงของชีวิตว่า ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับชีวิตของ เจี๊ยบ หรือ กิตติทร สุดประเสริฐ ผู้พิการทางสายตา วัย 25 ปี หัวหน้ากลุ่มงานฝ่ายคุ้มครองสิทธิ สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ที่เคยผ่านอดีตอันเจ็บปวดเนื่องจากการสูญเสียดวงตาไปอย่างไม่คาดคิด

 

เจี๊ยบ เล่าให้ฟังว่า สายตาของเจี๊ยบมีความผิดปกติมาตั้งแต่เกิด เพราะประสาทตาเสื่อม แต่ดวงตาก็ยังสามารถมองเห็น และดำเนินชีวิตได้ตามปกติ…จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เจี๊ยบเรียนอยู่ชั้น ม.1  เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จากการเล่นตีหมอนกับน้อง ปรากฏว่า ซิปเล็กๆ ที่ติดอยู่กับหมอนฟาดโดนดวงตาข้างซ้ายอย่างแรง ขณะนั้น เจี๊ยบก็รู้สึกเหมือนว่า มีน้ำกลิ้งอยู่ในดวงตา ไม่ว่ามองไปทางไหน ก็คล้ายกับมีอะไรมาบังอยู่ตลอดเวลา จนต้องกลอกตาบ่อยๆ เจี๊ยบได้เดินทางไปพบคุณหมอ ผลการตรวจพบว่าน้ำที่ปิดตา คือ เลือดที่คั่งอยู่ในดวงตา เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เจี๊ยบต้องผ่าตัดดวงตาถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถรักษาดวงตาไว้ได้

 

ก่อนที่จะผ่าตัดครั้งแรก หมอบอกว่า มีโอกาสหายถึง 90% ซึ่งผมก็คิดว่าคงโชคดี แต่สุดท้ายหมอก็บอกว่า ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แม้ตอนนี้ผมอาจจะมองเห็น แต่ตาก็จะค่อยๆ บอดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็บอดสนิท เนื่องจากประสาทตาไม่สามารถเปลี่ยนกันได้ เสียแล้วเสียเลย วินาทีที่หมอบอกว่า ไม่มีทางรักษาหายแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจคำว่า ล้มทั้งยืน

 

หลังกลับมาจากฟังประกาศิตของหมอ เด็กน้อยอารมณ์ดี ร่ำรวยไปด้วยเสียงหัวเราะ เป็นที่รักของครอบครัว อาจารย์ และเพื่อนๆ กลับกลายเป็นเด็กชายที่เงียบขรึม ซึมเศร้า ไม่มีแก่ใจที่จะทำอะไรต่อไปในชีวิต

 

กลับมาจากโรงพยาบาล ผมก็เข้านอนหลับตา คิดแต่อยากจะฆ่าตัวตาย ตอนนั้นผมยังเด็ก อายุแค่ 13 ปี พอรู้ว่าต้องตาบอด ก็หมดกำลังใจที่จะดำเนินชีวิต ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไปดี อนาคตจะเป็นอย่างไร การเรียนล่ะ ขณะที่นอนคิดอยู่นั้น ปู่ ผู้ซึ่งดูแลเลี้ยงดูผมมาโดยตลอด และไม่เคยหลั่งน้ำตาให้ผมได้เห็น ท่านเดินเข้ามาหา เพราะคิดว่าผมนอนหลับไปแล้ว ปู่ร้องไห้ พร้อมกับลูบศีรษะของผม แล้วพูดว่า…เมื่อไหร่เจี๊ยบคนเดิมจะกลับมา

 

วินาทีที่ได้ยินเสียง ปู่ ร้องไห้ เจี๊ยบ ก็เกิดความรู้สึกผิด ที่ตนเองเป็นคนทำให้ปู่ต้องเสียใจ และหลั่งน้ำตาทั้งๆ ที่ปู่เป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด และทำให้เจี๊ยบตัดสินใจได้ว่า ฉันต้องลุกขึ้นสู้ต่อไป เพื่อตัวเองและปู่…เช้าวันรุ่งขึ้น เจี๊ยบลุกขึ้นแต่งตัวไปโรงเรียนตามปกติ ท่ามกลางความประหลาดใจแกมดีใจของปู่

 

ปู่คือทุกสิ่งในชีวิตของผม เป็นทั้งคนให้ชีวิต ทำให้ผมมีอย่างทุกวันนี้ ถ้าไม่มีเขา ผมก็ไม่สามารถอยู่ได้ เพราะพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนผมอยู่ ป.6 แม่ก็ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ปู่เป็นคนคอยดูแลและเป็นกำลังใจในชีวิตมาโดยตลอด ปู่จะคอยสอนผมหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสียสละ การใช้ชีวิต คุณธรรม การรักครอบครัว

  

การกลับมาเรียนหนังสือของ เจี๊ยบ อาจจะพูดได้ว่า เหมือนกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งหมด!

 

คนที่เคยมีดวงตาดีๆ แล้วมาตาบอด บางคนอาจจะรับสถานการณ์ไม่ไหว ต้องหยุดเรียนหลายปี กว่าจะปรับตัวกลับมาเรียนได้อีกครั้งหนึ่ง หรือในบางกรณีเลิกเรียนไปเลยก็มี ซึ่งในตอนแรกหมอก็แนะนำให้ผมหยุดเรียนไป 2 ปี เพื่อไปเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอด หรือว่าไปเข้าหลักสูตรต่างๆ แต่ผมก็ไม่ได้หยุด เพราะได้ข้อคิดจากที่ปู่ร้องไห้ ก็เลยคิดว่าไม่หยุดเรียนดีกว่า แต่การกลับมาครั้งนี้ผมต้องปรับชีวิตใหม่หมด โดยเฉพาะการเรียนหนังสือ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำร่วมกับเพื่อน ก็ไม่สามารถทำร่วมกันได้อีกต่อไป ที่สำคัญคือ ต้องปรับเรื่องการเดินทาง เพราะมองทางไม่เห็น ช่วงแรกที่ไปโรงเรียนก็ขึ้นแท็กซี่ สามล้อ และมอเตอร์ไซค์ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยเริ่มเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเองมากขึ้น จึงเลือกที่จะนั่งรถเมล์

 

นอกจากนี้ เจี๊ยบ ยังบอกอีกว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้น ทำให้เจี๊ยบต้องสร้างกำลังให้กับตนเอง ด้วยการมองโลกในแง่บวก มองหาสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมืด มุมมองที่คนตาดีไม่อาจเห็น

 

น้ำใจ ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่ผมสัมผัสได้ด้วยหัวใจ ไม่ต้องใช้ดวงตา เพราะการปฏิบัติตัวของบุคคลรอบข้างไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ ที่ควรช่วยเหลือและให้คำปรึกษา เพื่อน ที่คอยอ่านหนังสืออัดใส่เทปให้ฟัง ผมเชื่อว่า ผมมีวันนี้ได้ เพราะผมโชคดีที่มีคนที่รักและห่วงใยคอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจอยู่เสมอ

 

เพราะกำลังใจที่ได้รับจากบุคคลรอบข้าง เจี๊ยบ จึงมีแรงใจที่จะต่อสู้กับโรคมืด โดยการเริ่มเรียนการใช้อักษรเบรลล์และการใช้ไม้เท้า จากเพื่อนตาบอด 2 คนที่เรียนร่วมห้อง จากนั้นก็เริ่มเรียนอย่างจริงจังที่โรงเรียนสอนคนตาบอด และเข้าร่วมโครงการของวิทยาลัยราชสุดา ในหลักสูตร O&M (หลักสูตรการใช้ไม้เท้าและคอมพิวเตอร์)

 

ไม่เพียงเท่านี้ เจี๊ยบ ยังเป็นเด็กที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยมมาโดยตลอด ในบางเทอมทำคะแนนได้ดี จนเป็นที่ 1 ของห้อง ซึ่งเป็นนักเรียนตาดีทั้งหมดกว่า 30 คน และด้วยความพากเพียรนี้เอง ที่ส่งผลให้เจี๊ยบสามารถสอบตรงเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ในขณะที่คนตาดีที่ฝันอยากเป็นลูกแม่โดม ยังไม่สามารถทำได้!

 

คนตาบอดหลายคน ชอบคิดว่า ตัวเองตาบอดจะไปทำมาหากินอะไรได้ นอกจากไปเป็นหมอนวดแผนโบราณ แต่ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของคนพิการว่า สามารถทำทุกอย่างได้เท่าเทียมกับคนตาดี 

 

เมื่อคว้าโอกาสการเข้าศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ เจี๊ยบก็ตั้งใจหมั่นพากเพียร เรียนหนังสือ จนในที่สุด ก็ได้เข้าทำงานที่สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าคุมงานฝ่ายกฎหมาย และได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างแท้จริง โดยได้ริเริ่มการจัดตั้งศูนย์พิทักษ์วิถีคนพิการ เพื่อเป็นศูนย์กลางการช่วยเหลือคนพิการที่ถูกละเมิดสิทธิ หรือถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ เจี๊ยบยังได้มีโอกาสร่วมการยกร่างกฎหมายบริหารบัญญัติ อนุบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบประกาศต่างๆ ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต 2550 และได้เข้าไปมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นเรื่องสิทธิของคนพิการที่จำเป็น ซึ่งนับเป็นความภูมิใจที่เจี๊ยบได้ใช้ความรู้ความสามารถในการผลักดันสิ่งที่คนพิการในสังคมควรจะได้รับ

 

คนพิการในสังคมบางทีก็เคยตัว คิดแต่ในมุมของตัวเองว่า ต้องการได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้จากสังคมและคนอื่น แต่คนพิการไม่เคยคิดว่าจะให้อะไรกับสังคม หรือให้อะไรกับคนอื่นบ้าง คิดแต่จะรับฝ่ายเดียว เมื่อไม่คิดจะให้ มันก็ไม่สมดุล สุดท้ายก็จะกลายเป็นภาระของสังคมและคนอื่น แต่ถ้าคิดว่าจะให้และทำอะไรเพื่อคนอื่น จากคนที่กลายเป็นภาระก็จะกลายเป็นพลังของสังคมได้ เจี๊ยบ กล่าวทิ้งท้าย

 

แม้ร่างกายจะพิการต้องสูญเสียการมองเห็นไป แต่เจี๊ยบ ไม่เคยปล่อยให้ใจของตนเองต้องพิการตามไปด้วย และใช้ทุกเวลา ทุกนาที อย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งกับตนเองและสังคม ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นอุทาหรณ์เตือนใจคนพิการอีกหลายๆ คนที่กำลังท้อและหมดกำลังใจที่จะต่อสู้หยัดยืนอยู่บนโลกใบนี้ ให้รู้จักคุณค่าของตัวเอง

 

 สำหรับคนตาดีทั้งหลาย เรื่องราวของเจี๊ยบ คงเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนรู้จักระมัดระวังตนเอง ไม่ใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะอุบัติเหตุเพียงนิดเดียว…อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล…

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update 10-11-52

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code