เรียกคืน “สิทธิ” ผู้พิการ ขอยืนในสังคมได้ “อย่างเท่าเทียม”

แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่ต้องก้าวต่อ

 

เรียกคืน “สิทธิ” ผู้พิการ ขอยืนในสังคมได้ “อย่างเท่าเทียม”

             คงไม่มีใครอยากเกิดหรือประสบเหตุจนทำให้กลายเป็น “คนพิการ” สาเหตุสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “รูปลักษณ์ภายนอก” ที่แตกต่าง แต่เพราะพวกเขามีอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตมากกว่าคนปกติทั่วไป คนพิการที่คนปกติไม่สามารถรู้สึกถึงความมีจิตใจอยากพึ่งพาตนเองได้ อยากให้คนปกติยอมรับความคิดเห็น และไม่ถูกเหยียบหยามทางรูปลักษณ์ระหว่างความเป็นคนเหมือนกัน

 

             นายสุชาติ คำเหมืองแร่ อายุ 39 ปี ผู้พิการแขนขวาจากอุบัติเหตุ ได้บอกว่า เดิมทีนั้นทำงานเป็นพนักงานบัญชี บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้รับนั้นสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้สบาย โดยที่ภรรยาเป็นแค่แม่บ้านดูแลลูก 2 คน ไม่ต้องทำอะไร แต่เพราะความคึกคะนองของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่ขับขี่รถยนต์ด้วยความประมาท จึงทำให้เขาต้องประสบกับอุบัติเหตุถึงพิการแขนขวา ช่วงแรกนั้นทำใจยอมรับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียแขนไป อีกทั้งครอบครัวมีปัญหาในเรื่องของรายได้ที่จะมาใช้จ่ายในครอบครัว ต้องออกจากงานเพราะไม่สามารถอยู่ในสภาพทำงานได้ เงินที่เคยได้จากการทำงานหลักหายไป ทำให้ภรรยาต้องออกมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับการที่ได้เงินช่วยเหลือผู้พิการจากรัฐบาลถึงมันได้ไม่เยอะ แต่ก็เหมือนเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้ตนและครอบครัว สำหรับสิ่งที่ตนต้องการคือ อยากได้การสนับสนุนให้หน่วยงานเอกชนหรือรัฐบาล มาช่วยเหลือในเรื่องงานที่สร้างรายได้ให้กับผู้พิการมากกว่า 

      

             การเปิดโอกาสให้คนพิการสามารถเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนได้ นับได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญของการแสดงถึงความเสมอภาค ที่มอบให้กับประชาชน และเป็นความเท่าเทียมของภาครัฐและเอกชน ที่จะมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน

 

            ตรงจุดนี้ นางปรานี สงวนสุด อายุ 42 ปี อดีตแม่ค้าส้มตำ ผู้พิการทางแขนจากโรคเบาหวาน ได้กล่าวเสริมขึ้นด้วยว่า คนพิการเองนั้นก็ไม่ได้ต้องการที่จะอยู่นิ่งเฉย รอการช่วยเหลือจากสังคม แต่อยากให้สังคมนั้นมองถึงศักยภาพ ในด้านอื่นๆ ของคนพิการบ้าง ถึงแม้ว่าเราจะเสียส่วนต่างๆ บางส่วนในร่างกายไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราพิการหัวใจแต่อย่างใด หากใครที่เปิดใจยอมรับ อ้าแขนจะช่วยเหลือ ให้งานทำนั้นแหละคือการเปิดกว้างทางสังคม เพราะการที่ได้ทำงานเหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้พวกเราดูเป็นคนที่ไม่ด้อยค่าในสังคมอีกต่อไป

 

             ไม่เพียงปัญหาในการประกอบอาชีพเท่านั้น การที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย 

 

             เด็กชาย กอล์ฟ ม่วงเดช อายุ 14 ปี นักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสามเสน ผู้พิการโปลิโอ บอกว่า บ่อยครั้งที่เขาไปโรงเรียนช่วงเช้าและกลับบ้านช่วงเย็นด้วยรถโดยสารประจำทางตลอด ซึ่งมักจะถูกกลุ่มวัยรุ่นที่ร่างกายปกติและที่อายุเยอะกว่าเบียดเสียดเพื่อแย่งที่นั่งเป็นประจำ จุดนี้ น้องกอล์ฟ บอกว่า เขาไม่เคยที่จะเรียกร้องที่อยากจะนั่งระหว่างการเดินทางอย่างใด แต่เพราะการยืนทรงตัวด้วยขาข้างเดียวนั้นเป็นเรื่องลำบาก แม้จะมีที่นั่งสำรองสำหรับคนพิการแล้วก็ตาม แต่ตนก็ได้นั่งนับครั้งได้เลยทีเดียว 

 

             อยากวอนให้คนทั่วไปสงสารเขาหรือคนพิการคนอื่นๆ บ้าง แม้การกระทำบางอย่างจะไม่ได้ทำร้ายใครโดยตรง แต่การทำร้ายทางอ้อมแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียใจมากที่สุด เด็กชายกอล์ฟบอกด้วยสายตาน้อยใจ

 

             แม้กฎกระทรวงมหาดไทย จะกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการ หรือทุพพลภาพ และคนชรา มีผลบังคับใช้ไปแล้ว แต่ดูเหมือนคนที่ร่างกายครบ 32 ทั่วไปยังไม่ค่อยรับรู้กันเลย

 

             สำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2550 ระบุว่า ในสังคมที่มีคนพิการจำนวนเพียงร้อยละ 2.9 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ แม้จะเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก แต่กลุ่มคนพิการเหล่านี้ ก็ย่อมมีสิทธิอันชอบธรรม ในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเท่าเทียมกับคนปกติโดยทั่วไปในสังคม ด้วยเหตุนี้ ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จึงได้มีการพิจารณาออกกฎหมายสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 2 และประกาศใช้ พระราชบัญญัติส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550

 

            นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ผู้อำนวยการส่งเสริมสวัสดิภาพ และพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ บอกว่า กฎหมายที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ทุพพลภาพที่ได้ออกมาล่าสุด คือ กฎกระทรวงมหาดไทย กำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร สถานีขนส่งมวลชน สำนักงาน โรงมหรสพ โรงแรม หอประชุม สนามกีฬา ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าประเภทต่าง ๆ สำหรับผู้พิการ หรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. 2548 นี้ มิใช่กฎที่ตราขึ้นเพื่อให้คนปกติสงสารหรือเห็นใจคนพิการ แต่จากนี้ไปคนพิการจะมี สิทธิที่ต้องได้รับ ซึ่งก็เอื้อรวมไปถึงคนชราด้วย 

           

             สำหรับผู้พิการคนไหนที่คิดว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่ได้รับความชอบธรรม นายกิตติทร สุดประเสริฐ หัวหน้ากลุ่มงานฝ่ายคุ้มครองสิทธิคนพิการ สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย บอกว่า สามารถที่จะมาปรึกษาขอคำแนะนำในเรื่องต่างๆ ได้ ส่วนปัญหาเรื่องของคดีแพ่งและอาญา ผู้พิการคนไหนมีปัญหาฟ้องร้อง ทางสภาฯ ก็จะติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยดำเนินการให้อีกทาง

 

             รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เป็นเครื่องตัดสินว่าใครดีไม่ดี เป็นคนปกติหรือคนพิการ บางคนพิการแต่ร่างกาย ทว่าหัวใจของเขานั้นกลับไม่ได้เป็นเหมือนร่างกายของเขา ตรงกันข้ามกับคนปกติบางคนมองว่า ตัวเองสมบูรณ์ทางร่างกาย แต่กลับมีหัวใจและความคิดที่พิการ…ลองคิดกันเล่นๆ สิว่าจริงๆ แล้วใครกันแน่ ที่ควรถูกมองว่าเป็นคนพิการ

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ภราดร เดชสาร  Team content  www.thaihealth.or.th

 

 

 

 

Update: 09-11-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

 

Shares:
QR Code :
QR Code