เพศที่สามครองพิธีกร เน้นประพฤติดีเป็นตัวอย่าง

        สิ่งหนึ่งที่สะดุดสายตาในขณะนั่งเปิดดูโทรทัศน์ไม่ว่าจะช่องฟรีทีวี ดาวเทียมทีวี ดิจิตอลทีวี หรือแม้แต่ทีวีออนไลน์ ก็คือพิธีกรที่เป็นเพศที่สาม กะเทย เกย์ ทอม ยึดครองพื้นที่หน้าจอกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรายการบันเทิง รายการทอล์กโชว์ รายการเล่าข่าว รายการท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่ายินดี ที่แสดงให้เห็นว่าสังคมบ้านเรายอมรับในความสามารถและเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มคนเพศหลากหลายมากขึ้น


/data/content/26459/cms/e_cdkmqstuwz16.jpg


       ในขณะเดียวกันมีคนตั้งข้อสังเกตว่าหลายรายการที่มีพิธีกรเป็นเพศที่สาม มักถูกนำเสนอและมีการจัดรายการแบบกรี๊ดกร๊าดเต็มที่ แต่งตัววาบหวิว มีจริตจะก้าน ใช้วาจาหยิกแกมหยอก แซวแรงๆ เมาธ์ ล้อต่างๆ เป็นเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อสร้างความบันเทิง ให้ความสนุกสนานแก่ผู้ชม แต่บางครั้งพฤติกรรมเกินจริง และคำพูดเกินเลยเหล่านี้ที่แสดงมากกว่าเพศชาย-หญิง เมื่อเผยแพร่ออกไปอาจส่งผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนจะนำไปเป็นแบบอย่างได้


       เรื่องนี้ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อาชีพพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ เป็นอาชีพที่สุจริต ซึ่งคนที่มีเพศทางเลือกหลากหลายเขาก็จำเป็นต้องมีพื้นที่ยืนในสังคม โดยอาชีพพิธีกรเป็นสิ่งที่ทำได้ เพศสภาวะไม่ได้เป็นข้อห้ามในการประกอบอาชีพ แต่ก็ต้องมีกติกาจากผู้ดูแลในส่วนนั้น นั่นก็คือเจ้าของสถานี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมาช่วยกำกับ ป้องกันโดยใช้วัฒนธรรม กฎเกณฑ์ของบ้านเรา ว่าสามารถแสดงออกได้แบบไหน


       หากผู้มีอาชีพเป็นพิธีกรไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง แต่แสดงถึงพฤติกรรม อากัปกิริยาที่ไม่เหมาะสม ใช้คำพูดไม่สุภาพล่อแหลม รุกล้ำสิทธิคนอื่น ผิดจารีตประเพณี แต่งตัวโป๊เปลือย ก็ย่อมต้องโดนวิพากย์ ฉันใดนั้น กฎอย่างไรที่เกิดขึ้นกับชายและหญิง คนที่เป็นเพศทางเลือกก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน ไม่มีข้อยกเว้น


       ไม่ใช่แค่พิธีกร แต่ ผู้ที่เป็นบุคคลสาธารณะทั้งประเทศ เมื่อได้รับการยกย่องจากประชาชน หน้าที่ของท่านคือการตอบแทนสังคม ไม่ใช่รังแกสังคม ต้องกระทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งนี้หากคนที่เป็นต้นแบบเป็นโมเดลที่ไม่ดีต่อสังคม แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกไป ย่อมส่งผลกระทบและเกิดพฤติกรรมเลียนแบบในคนบางกลุ่ม นั่นคือกลุ่มเด็ก เยาวชนที่มีพัฒนาการ วุฒิภาวะไม่เพียงพอ ต้นทุนชีวิตตกต่ำ ซึ่งในบ้านเรามีกลุ่มเด็กเหล่านี้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพลังครอบครัวอ่อนแอ ไม่ได้รับการปลูกฝังวิชาชีวิตหรือมีแบบอย่างที่ดีจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าต้องเป็นกะเทย ตุ๊ด เกย์ ถึงจะเก่ง ดัง ได้รับความสนใจ หรือเกิดการลองเลียนแบบ สร้างจุดสนใจให้ตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมากเหมือนไฟลามทุ่ง ขณะที่เด็กที่มีต้นทุนชีวิตที่สูง มีพื้นที่ในการแสดงออก มีวิจารณญาณ เขาก็จะเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องทำการลอกเลียนแบบ พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะไม่เกิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของผู้ปกครอง โรงเรียน และสังคมที่ต้องช่วยกันทำหน้าที่ให้ความรู้และปลูกฝังแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชน


       ด้าน คุณภัทธิรา ปาลวัฒน์วิไชย กรรมการผู้อำนวยการสายงานสถานีโทรทัศน์ช่อง 2 ทีวีดิจิตอล เผยถึงการเปิดพื้นที่ให้กับเพศที่สามเข้ามามีบทบาทเป็นพิธีกรนั้น ทางสถานีจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถ ตรงกับรูปแบบของรายการ ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ตาม โดยเราจะดูแลและถูกสกรีนเรื่องการแสดงออกทางสื่อเท่ากันหมด อาทิ เรื่องพฤติกรรม ความเหมาะสม ความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศไหน หากไม่ควบคุมก็อาจแสดงอะไรบางอย่างที่ไม่ดีออกไปได้


       ส่วนเรื่องของการแสดงอารมณ์และพฤติกรรมเกินจริงของเพศที่สามที่เกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อเด็กนั้น เรามองว่ามันเป็นพฤติกรรมธรรมชาติในการแสดงออกของเขา เหมือนกับผู้ชายที่มีความห่าม ผู้หญิงแสดงอาการวี้ดว้าย ซึ่งเพศที่สามเป็นการรวมตัวของสองสิ่งและมันเป็นธรรมชาติ เราไม่ได้ไปควบคุมเรื่องเหล่านั้น แต่การแสดงออกที่ไม่เหมาะสมต่างหาก เช่น การพูดคำหยาบ การแสดงมุมมองด้านลบต่อสังคม เป็นสิ่งที่ต้องดูแล โดยทุกวันนี้เชื่อว่าสังคมไทยก็ไม่ได้แบ่งแยกเรื่องเพศ และทุกคนก็ต้องให้ความรู้กับเยาวชนเรื่องเพศที่สาม เพราะเราต้องอยู่ร่วมกันในสังคม สร้างเกราะให้กับเด็ก ให้รู้จักเคารพสิทธิและยอมรับการมีหลากหลายเพศ อย่าไปตัดสินว่าเขาเป็นอะไร แต่ตัดสินว่าเขาทำอะไรดีกว่า


       สำหรับบางรายการที่มีเนื้อหาร้อนแรง เข้มข้น พิธีกรมีการใช้คำพูดที่ดูรุนแรง ล่อแหลมต่อเด็กและเยาวชน ปัจจุบันเรามีการจัดเรตของรายการโทรทัศน์ว่าเหมาะกับผู้ชมกลุ่มไหนให้รับทราบไว้เบื้องต้นอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันทางช่อง 2 เองในการทำสื่อก็ต้องมีความรับผิดชอบ ซึ่งแต่ละรายการต้องมีการสกรีนตรวจเนื้อหาอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ในเรื่องของการแสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อน แลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา ยกตัวอย่างเช่น รายการคนดังนั่งเคลียร์ นอกจากจะขึ้นกำกับเรตแล้ว พิธีกรเองก็ต้องคอยย้ำเตือนคนชมให้ระวังในประเด็นที่ค่อนข้างรุนแรงอยู่เสมอ และเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องคอยชี้แนะให้คำแนะนำกับเด็ก ไม่เพียงแค่สอนว่าอะไรดี ไม่ดี แต่ต้องสอนให้เด็กไม่ยอมรับในสิ่งที่ไม่ดีด้วย เพื่อให้คนไม่ดีต้องเปลี่ยนพฤติกรรม


      ขณะที่ ป๋อมแป๋ม-นิติ ชัยชิตาทร พิธีกรกะเทยชื่อดังจากรายการเทยเที่ยวไทยและควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ทางช่อง Bang Channel กล่าวว่า เรื่องเพศที่สามกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่อาจส่งผลกระทบเยาวชนไทยได้นั้น คือ


/data/content/26459/cms/e_acdjost12349.jpgก็ต้องถามอีกทีว่า คำว่าเพศที่สามนี้คืออะไร เช่น ทอมที่เท่ๆ พูดครับออกทีวีตลอดเวลา ถามว่ามันตรงเพศสรีระเขามั้ย มันก็ไม่ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมันน่าเกลียดหรือเปล่า ก็ไม่อีกเช่นกัน หรือแม้แต่ในเทยเที่ยวไทยของเราก็มีคนอย่างกอล์ฟ ซึ่งก็เป็นกะเทย แต่เรียบร้อยมาก ไม่กรี๊ด ไม่หยาบคายเลย ส่วนตัวเลยคิดว่าความเหมาะสมเรื่องกิริยามารยาท มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าเป็นเพศอะไรค่ะ คือถ้ามองว่าการจิกกัด การเมาธ์ เสียงดัง เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ว่าเพศไหนทำก็ต้องไม่เหมาะสมค่ะ


       เรื่องเสรีภาพมันต้องมาพร้อมกับหน้าที่และความรับผิดชอบ เราว่าทั้งคนดู คนทำ มันควรจะมีเสรีภาพในการเสพ/ผลิตสื่อ แต่มันต้องมีการความรับผิดชอบคู่มาด้วย “หลักๆ คือป๋อมแป๋มว่าบางครั้งเราเสนอของต่ำได้ แต่เราต้องรับผิดชอบด้วยการแมนพอ ด้วยการยอมรับว่านี่คือของต่ำ และให้คนดูรู้ว่านี่คือของต่ำ ให้เขาไปพิจารณาเอาเอง ยกตัวอย่างเช่น รายการเทยเที่ยวไทยของเรา เรายอมรับว่าคำหยาบมันมี ยืนยันจะพูด แต่ที่เราทำเองโดยไม่ต้องมีใครมาสั่งคือการดูดเสียง โอเค คนดูเขารู้ว่าเราพูดว่าอะไร และขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่ามันเป็นคำต่ำ จากนี้เขาจะไปใช้ตาม ไม่ใช้ตาม มันก็เป็นเสรีภาพของเขาละ” พิธีกรชื่อดังกล่าว.


เสพสื่อได้ด้วยวิจารณญาณ


    น้องบ๊อก-ชมเพลิน เพ็ชรรัตน์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 บอกว่า สำหรับหนูแล้ว รายการที่มีเพศที่สามอย่างกะเทยเป็นพิธีกร หนูชอบดูนะคะ เพราะมันสนุก เฮฮา มีภาษาและมุกแปลกๆ ใหม่ๆ มาเล่นกัน ทำให้คลายเครียดดี แต่สิ่งที่ไม่ชอบเลยก็คือบางครั้งก็มีการแสดงออกมากเกินไป ใช้คำพูดแรง ไม่รู้จักกาลเทศะ ซึ่งมองดูไม่ดี และอาจทำให้คนหรือเด็กๆ นำไปปฏิบัติตามได้ เพราะเขาเห็นว่าคนในทีวีทำได้ เขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน เราต้องรู้จักแยกแยะให้เป็นด้วย และพ่อแม่เองควรให้คำแนะนำด้วยค่ะ


    ฟลุ๊ค-นภัส วุฒิสธิตธาวร อายุ 22 ปี นักศึกษา บอกว่า ปกติไม่ค่อยได้ดูรายการทีวีเท่าไหร่ แต่การมีเพศที่สามเป็นพิธีกรก็เป็นความสามารถในการช่วยทำให้รายการมีสีสันเพิ่มขึ้น แม้จะมีคำพูดหรือท่าทางเกินจริงไปบ้าง แต่เพื่อความบันเทิง ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ซึ่งสำหรับเด็กเล็กๆ อาจไม่เหมาะ อาจจำไปพูด หรือแสดงท่าทางตามพิธีกร ก็ต้องมีคนช่วยเตือนและคอยดูแลด้วยครับ


    ชมพู-สุชานาถ นามเฉลียว อายุ 20 ปี นักศึกษา บอกว่า ไม่ว่าจะมีพิธีกรชาย หญิง หากแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เด็กก็สามารถนำไปเลียนแบบได้ ไม่เกี่ยวกับเพศมันขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน ซึ่งกะเทยหรือเพศที่สามอาจมีการแสดงออกค่อนข้างกล้า ดูฉูดฉาด เลยอาจถูกมองในทางลบมากกว่าก็เป็นได้ ทั้งนี้ครอบครัวก็ต้องคอยให้คำแนะนำเช่นกัน.


 


 


 


     ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


     ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code