เพราะ ปวดหัว ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ที่มา : มติชน
แฟ้มภาพ
เพราะ ปวดหัว ไม่ใช่เรื่องธรรมดา พินิจ 10 สัญญาณอันตรายพึงระวัง
อาการปวดศีรษะของคนส่วนใหญ่เป็นปัญหาสุขภาพเบื้องต้นที่ค่อนข้างสร้างความน่ารำคาญและหงุดหงิดใจไม่น้อย ซึ่งเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ คุณหมอที่ดูแลรักษาจะวินิจฉัยจากการซักประวัติเป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อและความเครียด (Tension headache) โดยเฉพาะคนทำงานในปัจจุบัน หรืออาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งมักใช้วิธีรักษาด้วยการกินยาร่วมกับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ พยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ปวด และรอเวลาให้อาการทุเลาจนหายไปได้เอง
มีตัวเลขสถิติประมาณว่าใน 100 คนจะมี ผู้ที่ปวดศีรษะแบบธรรมดาๆ 90 คน แต่อีก 10 คนที่ "ไม่ธรรมดา" ก็คือ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหรือพิการได้ ได้แก่ อาการปวดศีรษะที่เกิดจากการมีเลือดออกในสมองด้วยหลากหลายสาเหตุ หรือจากการอักเสบติดเชื้อ หรือจากเนื้องอกในสมอง
ผศ.นท.นพ.สรยุทธ ชำนาญเวช ประสาทศัลยแพทย์ รองหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ให้ข้อมูลถึงอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับ 10 สัญญาณอันตราย รวมกับอีก 5 ประเด็นที่จะต้องประเมินร่วมกัน ดังนี้
อย่างแรกก็คือ มีอาการปวดศีรษะที่รุนแรงซึ่งเกิดขึ้นทันทีทันใด รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงของอาการปวดอย่างทันทีทันใด การปวดศีรษะที่มีอาการร่วมในลักษณะนี้อาจเกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมอง ซึ่งนับว่ามีความรุนแรงที่อาจส่งผลให้พิการหรือเสียชีวิตได้ แม้แต่ประวัติการใช้ยาต้านเกร็ดเลือด เช่น ยาแอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือดสำหรับการรักษาภาวะหลอดเลือดที่หัวใจ หรือในสมองตีบ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาและรายงานให้แพทย์ที่ดูแลทราบ เนื่องจากการ ใช้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด อาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนต่อการแข็งตัวของเลือด มีเลือดออกในสมองตามมาได้
สอง-มีอาการปวดศีรษะรุนแรงที่เกิดขึ้นในลักษณะสายฟ้าฟาด หมายถึงปวดแบบรุนแรงและเกิดขึ้นทันทีทันใดในอีกแบบ และมีอาการปวดตึงต้นคอร่วมด้วย มักเกี่ยวกับการมีเลือดออกในสมองจากเส้นเลือดโป่งพองในสมองแตก หรือผู้ป่วย อาจมีอาการทั้งที่เส้นเลือดโป่งพองในสมองยัง ไม่แตกก็ได้
สาม-ปวดศีรษะอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนจนต้องตื่นและไม่สามารถนอนหลับต่อได้
สี่-ปวดศีรษะร่วมกับเป็นไข้ หรือตามหลังอาการผิดปกติของทางเดินหายใจ หรือมีอาการเป็นผื่นแดงตามร่างกาย แขนขา ให้ทดลองกดหรือรูดบนผื่นแดง ถ้าผื่นยังคงอยู่ไม่ซีดจางหายไปตามการกดรูด อาจแสดงถึงการติดเชื้ออักเสบของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่อันตราย
ห้า-ปวดศีรษะร่วมกับประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะในช่วงระยะเวลา 3 เดือน หรือผู้ป่วยที่ปวดศีรษะขณะตั้งครรภ์ หรือหลังคลอด หรือหลังการออกกำลังกาย
หก-มีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการปวดเมื่อขยับขากรรไกร
เจ็ด-ปวดศีรษะเกิดร่วมกันเมื่อไอ จาม เบ่ง หรือหัวเราะ หรือเปลี่ยนท่าทางเมื่อก้มศีรษะ
แปด-มีอาการปวดศีรษะร่วมกับมีอาการ ผิดปกติของระบบประสาท เช่น ง่วงซึม หลับมากขึ้น หรือมีอาการผิดปกติทางจิต เช่น เห็นภาพหลอน มีพฤติกรรมและบุคลิกภาพผิดแปลกไปจากเดิม การมองเห็นผิดปกติ เวลามองจะเห็นเป็น ภาพซ้อน ภาพไม่ชัด สายตามัว หรือมีอาการชัก หมดสติ
เก้า-มีอาการปวดศีรษะร่วมกับประวัติ การรักษาโรคมะเร็ง
สัญญาณพึงระวังข้อสุดท้ายก็คือมีอาการปวดศีรษะร่วมกับประวัติการรักษาภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือต้องใช้ ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
นอกจากนี้ ก็ยังมีอีก 5 ประเด็นที่ต้องประเมินร่วมเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ได้แก่ ผู้ป่วยเด็กและผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากการปวดศรีษะในช่วงอายุดังกล่าวมักมีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในสมอง, มีความผิดปกติของสัญญาณชีพ ได้แก่ อาการไข้สูง ความดันโลหิตสูง หรืออัตรา การเต้นหัวใจที่ช้าขึ้นหรือเร็วผิดปกติ หรืออัตรา การเต้นหัวใจที่ผิดจังหวะ, การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ มีการหยุดหายใจระหว่างนอน, ลักษณะรูปแบบ ความถี่ของอาการปวดศีรษะ มีช่วงเวลาของการหายจากอาการปวดศีรษะหรือมีอาการ ปวดศีรษะคงที่สม่ำเสมอ และสภาพจิตใจของ ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ เพราะบางคนอาจมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด วิตกกังวลร่วมด้วยได้
การวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการปวดศีรษะ ต้องประกอบกันทั้งการซักประวัติ การใช้ยาประจำ การทำงานในชีวิตประจำวัน การพักผ่อนนอนหลับ ร่วมกับการตรวจร่างกายทางระบบประสาท และการตรวจจอประสาทตา สำหรับการถ่ายภาพรังสีทางการแพทย์ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง การทำ MRI สมอง จะเป็นเพียงส่วนช่วยในการยืนยันคำวินิจฉัยของแพทย์
การรักษาอาการปวดศีรษะที่สาเหตุเป็น การรักษาที่ได้ผลที่สุด และสามารถลดอัตราการ เสียชีวิตและพิการของผู้ป่วยได้
เพราะสมองถือเป็นอวัยวะที่สำคัญ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมกระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวต่างๆ โดยควบคุมและสั่งการร่างกายให้ทำงานตามความคิด เรียกว่าสมองนั้นมีการทำงานตลอดเวลา แล้วก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์และการเรียนรู้อีกด้วย
ดูแลสุขภาพสมองก่อนจะสายเกิน
การใส่ใจพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติเพื่อให้สมองทำงาน ได้ดี จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อสุขภาพที่ดีของสมอง รวมถึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมร้ายๆ ที่อาจทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ แนะวิธีง่ายๆ ดังนี้ "กินดี" รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ลดอาหารบางจำพวกโดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลสูงซึ่งเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง "ออกกำลังกายดี" การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายโดยรวมและหลอดเลือดแข็งแรง ไม่มีภาวะน้ำหนักเกิน "นอนหลับ พักผ่อนดี" การพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายมีเวลาซ่อมแซมตัวเอง
"คิดดี" ฝึกคิด ฝึกลงมือทำ จะช่วยให้สมองเกิดการเรียนรู้และพัฒนากระบวนการคิดให้รวดเร็วขึ้น "สนทนาดี"ฝึกสนทนาพูดคุยกับคนอื่นๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยให้สมองได้มีการฝึกฝนแก้ปัญหา ตรงกันข้ามกับคนที่เก็บตัว ไม่พบปะผู้คน จะพบว่าสมองมีกระบวนการทำงานในการแก้ปัญหาที่ช้าลง
และควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำลายสมอง ได้แก่ "ความเครียด" นอกจากเป็นผลร้ายต่อสภาพจิตใจแล้ว ยังส่งผลกระทบทำให้เสียสมาธิหรืออาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า "สิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะ" เพราะอาจทำให้สมองไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ "สูบบุหรี่" นอกจากโรคร้ายอาจมาเยือนแล้ว ยังทำให้ร่างกายและสมองได้รับออกซิเจนลดลง และเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง แม้แต่ "โรคประจำตัว" บางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองหลายโรค
จำไว้ว่าเมื่อเกิดการทำลายของสมองแล้วจะไม่สามารถทำให้สมองกลับมาทำงานได้สมบรูณ์ตามปกติ และจิตใจจะทำงานผิดปกติไปด้วย