เผยผลสำรวจการบริโภคยาสูบล่าสุดของไทย
พบกว่า 12.5 ล้านคน ยังตกเป็นทาสของบุหรี่
ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ประธานคณะทำงานวิชาการโครงการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลก (global adult tobacco survey: gats) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกใน 14 ประเทศที่ทำการสำรวจได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการสำรวจสถานการณ์การใช้ยาสูบในแง่มุมต่าง ๆ ที่ครอบคลุมที่สุดเท่าที่เคยทำมาโดยใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก พบว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้บริโภคยาสูบรวม 12.5 ล้านคน โดย 7.9 ล้านคนสูบบุหรี่ซองที่ผลิตจากโรงงาน และ 7.4 ล้านคนที่สูบบุหรี่มวนเอง โดยมีประชากรจำนวนหนึ่งสูบบุหรี่ทั้งสองประเภท อัตราการบริโภคยาสูบชนิดมีควันในเพศชายเท่ากับ 45.6 % และเพศหญิง 3.1 % สำหรับการเลิกสูบพบ 6 ใน 10 ของคนไทยที่สูบบุหรี่คิดจะเลิกสูบ และครึ่งหนึ่งของผู้ที่คิดจะเลิกสูบเคยเลิกสูบในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้มีคนไทยที่เลิกสูบบุหรี่แล้ว 4.6 ล้านคน
การสำรวจยังพบอีกว่า ร้อยละ 27.2 ของประชากรวัยทำงาน หรือ 3.3 ล้านคน ได้รับควันบุหรี่มือสองในที่ทำงาน และร้อยละ 39.1 ของประชากรผู้ใหญ่ หรือ 20.5 ล้านคนได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน ในขณะที่ร้อยละ 74.4 ของประชากรเคยเห็นข้อมูลรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ทางทีวี และหนึ่งในสิบยังเห็นมีการตั้งซองบุหรี่ ณ ร้านขายปลีก ประชากรที่สูบบุหรี่ซองเสียเงินซื้อบุหรี่เฉลี่ยเดือนละ 576 บาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 9.1 ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนในแต่ละคน ร้อยละ 38.1 ของประชากรเชื่อว่าการสูบบุหรี่มวนเองมีอันตรายน้อยกว่าสูบบุหรี่ซอง และภาพคำเตือน 3 อันดับแรกที่ทำให้ผู้สูบบุหรี่อยากเลิกสูบ และผู้ไม่สูบไม่อยากเริ่มคือ “สูบแล้วเป็นมะเร็งช่องปาก” สูบแล้วเป็นมะเร็งกล่องเสียง” และ “ควันบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอด” ในส่วนของการรับรู้เกี่ยวกับอันตรายของยาสูบ ร้อยละ 98.6 ของประชากรเชื่อว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้ ในขณะที่ ร้อยละ 94.9 ของประชากรเชื่อว่าการได้รับควันบุหรี่มือสองก่อให้เกิดโรคร้ายแรงในผู้ไม่สูบบุหรี่ได้
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานคณะกรรมการโครงการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลก กล่าวว่า ผลการสำรวจครั้งนี้มีประโยชน์มากในการนำมากำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ ที่ยังน่าเป็นห่วงคืออัตราการสูบบุหรี่ในชายไทยยังสูงมากถึง 45.6 % และอัตราการได้รับควันบุหรี่มือสองยังสูงในที่ทำงานและโดยเฉพาะในบ้าน ข้อมูลที่สำคัญอีกข้อหนึ่งจากการสำรวจนี้คือ การที่ประชาชนจำนวนมากที่ยังเข้าใจผิดว่าการสูบยาเส้นมีอันตรายน้อยกว่ายาซอง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่สูบยาเส้นไม่คิดที่จะเลิกสูบ
นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนการดำเนินการตามข้อเสนอเชิงนโยบายจากการสำรวจครั้งนี้ โดยจะผลักดันให้การสำรวจการสูบบุหรี่ครั้งต่อ ๆ ไปสามารถยึดมาตรฐานที่ทำไว้ในครั้งนี้และกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเพิ่มความพยายามในการที่จะทำให้คนไทยสูบบุหรี่น้อยลง โดยการเพิ่มสมรรถนะการควบคุมยาสูบในทุก ๆ ด้าน ทั้งระบบการเฝ้าระวัง การบังคับใช้กฎหมายห้ามโฆษณาส่งเสริมการขายบุหรี่ การช่วยให้คนเลิกสูบ และสิ่งที่จะต้องทำเร่งด่วน คือ การปรับปรุงกฎหมายให้สถานที่สาธารณะปลอดบุหรี่ 100 % เพื่อคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่
การสำรวจครั้งนี้เป็นการดำเนินงานร่วมมือกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ, คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการสนับสนุนของ องค์การอนามัยโลก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (cdc), cdc foundation และมูลนิธิบลูมเบิร์ก
ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
update 09-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์