เปิดใจสู่ปลายทาง

เรื่องโดย ปัญจวรา บุญสร้างสม Team content   www.thaihealth.or.th


ข้อมูลบางส่วนจาก งานเสวนา “การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์” และหนังสือคู่มือผู้ให้บริการสาธารณสุข กฎหมายและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (ฉบับปรับปรุง)


ให้สัมภาษณ์โดย ดร.กมลพร สกุลพงศ์ (อาจารย์อ้อย) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านปันรักเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง ใน 7 จังหวัดภาคใต้


ภาพโดย นพรัตน์ นริสรานนท์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ


เปิดใจสู่ปลายทาง thaihealth


“เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเหล่านั้นอย่างดีที่สุด คุณแม่มือใหม่หลายท่านล้วนแล้วแต่เอาใจใส่ดูแลร่างกาย และจิตใจของตัวเองเป็นพิเศษ เมื่อรู้ว่ากำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดขึ้นมา คนวัยทำงานจำนวนมาก วางแผนหลักประกันชีวิตและสุขภาพไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตในยามเกษียณ


เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น หลายคนกระตือรือร้นที่จะหาย ขอร้องให้หมอรักษาอย่างสุดกำลังความสามารถ ผู้ที่พอมีกำลังทรัพย์ ก็จะเลือกโรงพยาบาลและแพทย์ที่ตนเองเชื่อมั่นและไว้วางใจอย่างดีที่สุด เพื่อรับมือกับความเจ็บปวดจากกระบวนการรักษา แต่น่าแปลกที่พอพูดถึง “การเตรียมตัวตาย” แทบจะไม่มีใครอยากยอมรับหรือเตรียมการรับมือใดๆ กับมัน ทั้งที่รู้ดีว่าถึงอย่างไรสักวันมันก็ต้องมาถึง


ในความโชคร้าย ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ “ผู้ป่วยระยะสุดท้าย” เป็นกลุ่มคนที่ดูจะเข้าข่าย และเข้าใจในประโยคข้างต้นมากที่สุด เพราะเมื่อโรคร้ายมาเยือน ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่จะได้ทบทวนเรื่องราวในชีวิต จัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นให้เรียบร้อย ดูแลร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับการเดินทางไกลที่กำลังจะมาถึง มองเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น และใช้ทุกช่วงเวลาอย่างมีความหมาย


เปิดใจสู่ปลายทาง thaihealth


สังคมปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมากขึ้น องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความของการดูแลรักษาแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care ไว้ว่า วิธีการดูแลที่เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต โดยให้การป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยและครอบครัว ด้วยการเข้าไปดูแลปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะแรกๆ ของโรค รวมทั้งทำการประเมินปัญหาสุขภาพทั้งทางด้านกาย ใจ ปัญญาและสังคมอย่างละเอียดครบถ้วน


หลักการสำคัญของการดูแลรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่


1.ยอมรับ “การเสียชีวิต” ว่าเป็นกระบวนการธรรมชาติของชีวิต


2.ให้ความสำคัญกับการดูแลทางด้านจิตใจของผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการดูแลทางกายเสมอ


3.ให้ความเคารพสิทธิของผู้ป่วยและครอบครัวในการรับทราบข้อมูลการเจ็บป่วย รวมทั้งให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องแนวทางและเป้าหมายของการดูแล


4.ควรให้ความสำคัญต่อค่านิยม ความเชื่อ และศาสนาของผู้ป่วยและครอบครัวในกระบวนการดูแลด้วย


5.มีระบบการดูแลที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของผุ้ป่วยและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต ตลอดจนให้การดูแลภาวะเศร้าโศกของครอบครัว ภายหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว


6. สามารถทำควบคู่ไปพร้อมกับการรักษาอื่นๆ เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัดตั้งแต่ระยะแรกของโรค เพื่อลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวเผชิญหน้ากับการเจ็บป่วยได้ดีขึ้น


7.การดูแลควรทำในลักษณะของทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้ทีมที่ดูแลสามารถดูแลปัญหาสุขภาพด้านต่างๆ ของผู้ป่วยและครอบครัวได้ดีที่สุด


การทำให้คนมีช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่ดีเป็นอีกหนึ่งงานที่ สสส.ได้ดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเน้นเรื่องจิตใจ สังคม และปัญญาเป็นหลัก  ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารสร้างความตระหนักเรื่องวิถีการเผชิญความตายอย่างสงบ การเปิดพื้นที่เรียนรู้ผ่านเวทีเสวนาสาธารณะ การจัดอบรม สนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ รวมทั้งการสนับสนุนกฎหมาย หรือข้อบังคับให้คนรับรู้ว่าเวลาไปโรงพยาบาลเขาสามารถแสดงความประสงค์ว่าจะไม่ขอยื้อชีวิตผ่านการทำ Living Will (พินัยกรรมชีวิต)ได้


เปิดใจสู่ปลายทาง thaihealth


ดร.กมลพร สกุลพงศ์ หรืออาจารย์อ้อย ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านปันรัก และคอยดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยระยะท้าย คือ ตัวผู้ป่วยเองยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการที่จะนำไปสู่ความตาย การจะพูดถึงประเด็นความตายได้นั้น จะต้องใช้เทคนิคบางอย่างเข้ามาช่วย เช่น การใช้คติจากธรรมชาติบอกกล่าว อย่างการให้ผู้ป่วยออกไปเก็บใบไม้บริเวณรอบๆ บ้านปันรัก มานั่งพิจารณาด้วยกัน เพื่อให้ผู้ป่วยมองเห็นความจริงจากธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งสาเหตุสำคัญอย่างความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานว่า การพูดถึงเรื่องความตายเป็นเรื่องอัปมงคล ไม่สมควรพูดถึง แต่ที่บ้านปันรักมีโจทย์เรื่องทำให้ผู้ป่วยเข้าใจเรื่องความตายเป็นภารกิจหลักทุกคนจะต้องฝึกเจริญมรณานุสติอยู่เสมอ นอกจากนี้ที่บ้านปันรักจะพูดตลอดว่า “ความตาย” เป็นเรื่องมงคล ดีเสียอีกที่เรามีโอกาสได้เตรียมตัว ในส่วนของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเองก็เช่นเดียวกัน หากเข้าใจว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน มีพบก็ต้องมีจาก ก็จะทำให้สามารถยอมรับการสูญเสียได้ดียิ่งขึ้น


นอกจากนี้อาจารย์อ้อย ยังกล่าวต่อว่า หากบรรจุวิชาเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายลงในหลักสูตรการศึกษาได้ จะเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้คนเราเข้าใจกระบวนการที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเตรียมตัวตาย เข้าใจวิธีการดูแลตนเองและดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมากขึ้น มองความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ผลักไสหรือปฏิเสธการมีอยู่ของมัน ยอมรับและเข้าใจว่าการพลัดพรากเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดขึ้น จะทำให้คนเรามีจิตใจที่มั่นคง ไม่เป็นทุกข์จนเกินไปเมื่อช่วงเวลานั้นเดินทางมาถึง รวมทั้งไม่ประมาทในชีวิตด้วย


เปิดใจสู่ปลายทาง thaihealth


การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายนั้นต้องใช้หัวใจเป็นตัวตั้ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดซับซ้อน และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในส่วนของตัวผู้ดูแลนั้น นอกจากจะต้องดูแลร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยแล้ว ก็ต้องดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเองไปพร้อมๆ กันด้วย จึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลผู้ป่วย สิ่งสำคัญอาจจะไม่ใช่การทำทุกอย่างเพื่อปลอบประโลมจิตใจ หรือให้กำลังใจผู้ป่วยว่าจะต้องหาย หากแต่เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจในธรรมชาติของชีวิต เตรียมความพร้อมในเรื่องสำคัญต่างๆ ใช้เวลาที่เหลืออย่างมีความหมาย จนกระทั่งวางใจที่จะจากไปอย่างสงบเมื่อถึงวาระอันสมควร

Shares:
QR Code :
QR Code