เปิดแล้ว “ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติ”

ประเดิมด้วยคอร์สลดพุง อบรมหน่วยกู้ชีพ และวิธีบำบัดความเครียด

 เปิดแล้ว “ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติ”

             สภาจับมือสสส. เปิด ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติประเดิมกิจกรรม คอร์สลดพุง-อบรมหน่วยกู้ชีพ-วิธีบำบัดเครียด ชูส.ส.-ส.ว. ต้นแบบการดูแลสุขภาพให้กับประชาชน แพทย์เผยโรคผู้บริหาร เสี่ยงสูงต่อภาวะหัวใจ ผลตรวจสุขภาพนายกฯ ระดับความสุขปกติ เครียดเล็กน้อย เผยเคล็ดลับนายกฯเผชิญความเครียด ดึงครอบครัวให้กำลังใจ-แยกงานออกจากเรื่องส่วนตัว

 

             เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่รัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายคนไทยไร้พุง และโรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดโครงการสื่อสารสุขภาพและเปิดศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน โดยมีกิจกรรมตรวจสุขภาพในกลุ่มส.ส. ส.ว. เจ้าหน้าที่รัฐสภา และสื่อมวลชน พร้อมกันนี้ได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่างสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และสสส. เพื่อเปิด ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติเพื่อสร้างเสริมสุขภาพให้กับบุคลากรในองค์กรนิติบัญญัติ

 

             นายชัย กล่าวว่า  จากผลการตรวจสุขภาพส.ส.และส.ว. ในงาน สุขภาพฟิต พิชิตหวัดที่ผ่านมา  พบว่า ส.ส.และส.ว.ส่วนใหญ่มีไขมันสะสมเกินเกณฑ์ซึ่งเสี่ยงต่อภัยไข้เจ็บ หากมีการดูแลและป้องกันอย่างถูกต้องด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เหมาะสม  การพัฒนาจิตใจ เพื่อให้เกิดการทำหน้าที่ให้กับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเปิดศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติ จะถือเป็นช่องทางในการเข้าถึงกิจกรรม องค์ความรู้ในการติดตามความคืบหน้าของกิจกรรมด้านสุขภาพต่างๆ ที่สำคัญคือ ส.ส. และส.ว. สามารถนำข้อมูลความรู้ที่ได้จากศูนย์นี้ไปบอกกล่าวให้กับประชาชนในพื้นที่ และยังเป็นต้นแบบที่ดีของการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การลดงบประมาณรายจ่ายทางสุขภาพอีกด้วย

             นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การมีสุขภาพที่ดีถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะองค์กรนิติบัญญัติซึ่งเป็นองค์กรระดับชาติ ที่มีความสำคัญในเชิงการขับเคลื่อนทางนโยบายของประเทศ และการขับเคลื่อนทางสังคม  จึงถือต้นแบบของการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี จึงได้เกิดการจัดกิจกรรมขึ้น เพื่อเสนอแนะให้ส.ส. ส.ว. ข้าราชการรัฐสภา และสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ตระหนักถึงการดูแลสุขภาพ โดยค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถป้องกันโรคได้  หากเรียนรู้วิธีในการรักษาสุขภาพอย่างเหมาะสม

 

             ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์  รองผู้จัดการสสส. กล่าวถึงการเปิดศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติว่า ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติ เกิดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และสสส.  เพื่อสร้างเสริมสุขภาพในกลุ่มส.ส. ส.ว. เจ้าหน้าที่ประจำรัฐสภา และสื่อมวลชน ให้มีสุขภาพแข็งแรงทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย คอร์สลดพุง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน หัวใจ ความดัน , อบรมปฏิบัติการณ์กู้ชีพ โดยฝึกให้คนใกล้ชิดส.ส.และส.ว. เรียนรู้จักวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากภาวะความเครียดในปัจจุบันส่งผลให้ผู้บริหารเสี่ยงต่อโรควูบสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีผู้บริหารทางการเมืองประสบเหตุการณ์วูบมาแล้วถึง 6 คน  การฝึกปฏิบัติการณ์กู้ชีพจะช่วยให้ดูแลได้ทันท่วงที รวมถึงคอร์สวิธีบำบัดความเครียดให้กับบุคลากรทางนิติบัญญัติ ซึ่งถือเป็นโรคอันดับ 1 ที่เกิดจากการทำงาน

 

             นพ.ฆนัท ครุฑกุล ผู้จัดการศูนย์หัวใจหลอดเลือดและเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี  กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะฉุกเฉินที่ร้ายแรงที่สุดคือ ภาวะหัวใจหยุดเต้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอย่างกระทันหัน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน และดื่มเหล้าในปริมาณมาก ทำให้หัวใจทำงานหนักจนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จึงจำเป็นต้องมีการกู้ชีพอย่างเฉียบพลัน และยังพบว่า การประชุมสภาที่มีภาวะความเครียดสูง มีการประชุมที่ยาวนานและพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้หัวใจทำงานหนัก ซึ่งมีหลายครั้งที่ผู้บริหารระดับสูงเกิดภาวะวูบในระหว่างการประชุม และจากการตรวจสุขภาพที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ จึงจำเป็นต้องมีการป้องกันและช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

 

             จากนั้นเวลา 13.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมศูนย์สร้างเสริมสุขภาพ พร้อมกับร่วมตรวจสุขภาพ โดยนพ.ฆนัท กล่าวถึงผลการตรวจสุขภาพของนายกรัฐมนตรีว่า ระดับความดันของนายกฯอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนระดับความสุขซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ความสุขน้อย ปกติ และมาก พบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติเท่ากับคนทั่วไป สำหรับการวัดระดับความเครียดพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจมีความเครียดบ้างเล็กน้อยไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป ทั้งนี้จากการสอบถามนายกฯถึงแนวทางปฏิบัติเมื่อเผชิญกับความเครียดพบว่า ท่านให้ครอบครัวคอยให้กำลังใจในการฝันฝ่าอุปสรรคและจัดการกับความเครียด รวมทั้งการไม่นำความเครียดจากที่ทำงานกลับมาที่บ้าน ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการความเครียด เพราะหากนำความเครียดจากการทำงานมาโยงกับเรื่องส่วนตัวจะก่อให้เกิดภาวะความเครียดที่ต่อเนื่อง

 

             นพ.ฆนัท กล่าวว่า ความเครียดสามารถจัดการได้ ด้วยการแยกส่วนระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว ถ้าหากงานหนักก็ไม่ควรแบกไว้เพราะไม่ช่วยให้ความเครียดหายไปได้ ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการจัดการความเครียดที่ต่างกัน โดยสิ่งที่ดีที่สุดคือการมีกำลังใจ ซึ่งจะช่วยให้การทำงานประสบความสำเร็จ หากมีความเครียดพยายามหางานอดิเรกอย่างอื่นทำ เพื่อไม่ให้คิดหรือพะวงกับเรื่องที่เป็นปัญหา แต่กรณีที่มีความเครียดมากอาจต้องพบจิตแพทย์ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะหากทิ้งไว้นานจะส่งผลต่อระบบความดันเลือดและหัวใจ

 

 

 

 

 

ที่มา: สำนักข่าวสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.

 

 

Update: 14-10-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

Shares:
QR Code :
QR Code