เปิดการ์ดป้องกัน’เจ็บป่วยฉุกเฉิน’
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
จากสถิติประชาชนเข้ารับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน พบว่า มีไม่ต่ำกว่าปีละ 25 ล้านคน เฉลี่ยวันหนึ่งประมาณ 68,000 คน ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัดในการให้บริการ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความร้ายแรงตามมา การแก้ปัญหา จึงต้องเริ่มจากต้นเหตุ
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยระบุว่า สาเหตุส่วนใหญ่ มักเกิดจากอุบัติเหตุ โรคหัวใจเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งโรคเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นโรคเรื้อรังที่ป้องกันได้ ดังนั้นหากลดการเกิดโรคพวกนี้ได้ หรือคุมอาการของโรคเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินลงได้ ช่วยให้ผู้ที่เจ็บป่วยฉุกเฉินอย่างไม่คาดคิดจริงๆ ได้รับการดูแลรักษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนจะลดการเกิดโรคเหล่านี้ ได้อย่างไรลำดับแรกก็ต้องเปิดการ์ดป้องกันที่ชื่อว่า "การให้ความรู้" เสียก่อน อย่างไรก็ตามการให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ ก็มีหน่วยงานด้านสุขภาพ และสาธารณสุขออกมาให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นต้น แต่อาจยังไม่เพียงพอ สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย รพ.ราชวิถี และสสส.จึงร่วมจัด "โครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน" เป็นการให้ความรู้ การดูแลสุขภาพตนเองอีกทางหนึ่ง
ความพิเศษของการให้ความรู้ในโครงการนี้ ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. อธิบายว่า ตามปกติ หน่วยงานสุขภาพต่างๆ จะให้ข้อมูล เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่การสื่อสารอาจยังส่งตรงไปไม่ถึงประชาชนได้ดีพอ เพราะการรับข้อมูลสุขภาพเหล่านี้ก็เหมือนวิทยุ ซึ่งหากประชาชนไม่เปิดเครื่องรับวิทยุ ข้อมูลสุขภาพซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณ ก็จะส่งไปไม่ถึง ดังนั้น ความพิเศษของ การให้ความรู้ในโครงการนี้ จะมีการตั้ง ศูนย์ส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้ เจ็บป่วยฉุกเฉิน เพื่อที่จะรวบรวมข้อมูล การเจ็บป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในความสนใจ ของประชาชน เช่น การเจ็บป่วยฉุกเฉิน ของคนดังที่ประชาชนสนใจ หรือข้อมูลการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่เข้าใจผิดแล้วมีการแชร์ต่อกันมาก เป็นต้น
เพื่อทำให้ประชาชนเข้าใจโรคมากขึ้น "การให้ความรู้จะอธิบายตั้งแต่ลักษณะของโรคว่า เป็นอย่างไร สาเหตุเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง ถ้าป้องกันจะป้องกันอย่างไร มีวิธีการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นอย่างไรบ้าง คนรอบข้างช่วยเหลือได้อย่างไร และสามารถรักษาได้อย่างไร ซึ่งเมื่อเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจก็จะเป็นการพลิกวิกฤต ให้เป็นโอกาสในการเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้เกิดความรู้และสามารถดูแลตัวเองป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรืออาการอย่างในข่าวที่เป็นกระแสอยู่ได้" ดร.นพ.บัณฑิต กล่าว ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ ยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพง่ายๆ อย่างข่าวเสี่ยเจ้าของ โรงพิมพ์พาสาวไปกินหมูกระทะแล้วเกิด ติดคอช็อกเสียชีวิตคาโต๊ะอาหาร ก็จะอธิบายว่าจะป้องกันได้อย่างไร คือ ไม่พูดคุย
ขณะกินอาหารไม่กลืนอาหารเร็วจนเกินไป แต่หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไรบ้าง คนรอบข้างจะเข้าช่วยเหลือได้อย่างไร เพื่อช่วยเหลือให้เร็วที่สุด ป้องกันการเสียชีวิต เป็นต้น ส่วนอีกแนวทางหนึ่งในการให้ความรู้นั้น นพ.ไพโรจน์ เครือกาญจนา หัวหน้ากลุ่มงาน เวชศาสตร์ฉุกเฉิน รพ.ราชวิถี บอกว่า จะมีการทำคู่มือสำหรับประชาชนในการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉิน และเมื่อเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินแล้วจะทำอย่างไร เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ที่มีปัจจัยเสี่ยงมาจากความดันโลหิตสูง ก็จะมีการให้ความรู้เรื่องการป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นความดัน หรือจะควบคุมความดันอย่างไรไม่ให้เกิด อาการโรคหลอดเลือดสมองได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่เกิดจากพฤติกรรมทั้งสิ้น การป้องกันต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหลัก เป็นต้น
นอกจากนี้ จะทำคู่มือสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ให้สามารถวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย ว่าเป็นอาการฉุกเฉินสีแดงที่ต้องรักษาเร่งด่วน หรือเป็นฉุกเฉินสีเหลืองที่ต้องส่งต่อ หรือกลุ่มสีเขียวที่ยังสามารถรอได้ ซึ่งทุกวันนี้ยังต้องอาศัยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินในการวินิจฉัย ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลก็มี จำนวนน้อย อย่าง รพ.ราชวิถี มีประมาณ12 คนเท่านั้น ซึ่งการวินิจฉัยได้รวดเร็วจะช่วยให้ดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น ลดโอกาสการเสียชีวิตและพิการจาก การเจ็บป่วยฉุกเฉินลงได้ นอกจากนี้ จะรวบรวมจากข้อมูลโครงการที่เกี่ยวกับงานเจ็บป่วยฉุกเฉินและโครงการส่งเสริมป้องกันที่เกี่ยวกับ การเจ็บป่วยฉุกเฉินทั้งหมด แล้วนำมาทำ วิเคราะห์เพื่อจัดทำข้อมูล โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 18 เดือน เมื่อเสร็จแล้วจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ด้วย โดยเฉพาะ
ศธ. ในการช่วยสร้างความรู้เรื่องการป้องกันและการดูแลเมื่อเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินให้แก่นักเรียน โดยอาจมีการทำเป็นหลักสูตร เช่น หลักสูตรครูแม่ไก่หรือ ครู ก ในการสอนเด็ก" นพ.ไพโรจน์ กล่าว โครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทย ไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉินจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มาช่วยเสริมความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะเปิดการ์ด "ตัดไฟแต่ต้นลม" ก่อนที่ "เหตุฉุกเฉิน" จะร้ายแรงเกินแก้