เปลี่ยนชีวิตติดน้ำตาล หวานให้พอดีที่ 4 กรัม
พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยขึ้นชื่อเหลือเกินในเรื่องของ "ความหวาน" เพราะในอาหารและเครื่องดื่มเกือบทุกชนิด จะมีรสหวานเจือปนอยู่เสมอ ทำให้ปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทยอยู่ในระดับ "สูงมาก" คือมากกว่า 20 ช้อนชาต่อวัน ทั้ง ๆ ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทานได้เพียง 6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น
ในชีวิตประจำวันของคนไทย นอกจากอาหารที่มีน้ำตาลผสมอยู่แล้ว แต่ละช่วงเวลาเรามักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับน้ำตาลเสมอ เช่น ไลฟ์สไตล์การดื่มกาแฟ คนไทยมักจะใส่น้ำตาลลงไป เพื่อลดความขม จนมีการกล่าวกันว่า "คนไทยเสพติดความหวานรสกาแฟ" มากกว่าการนิยมชมชอบในการดื่มกาแฟ
ส่วนคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานประชุม งานสัมมนาตามสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงแรม มักจะพบกับอาหารมื้อย่อย ๆ ระหว่างประชุม หรือคอฟฟี่เบรก ก็จะมีพร้อมกับน้ำตาลอย่างน้อย 1 ซองเสมอ ๆ บางคนยังขอน้ำตาลเพิ่ม
กิจวัตรหรือสิ่งที่เราพบปะในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ทำให้คนไทยติดหวานโดยไม่รู้ตัว ทางเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกรมอนามัย พยายามสร้างความตระหนักรู้เรื่องการบริโภคน้ำตาลของคนไทย พร้อมชี้ให้เห็นโทษภัยของการบริโภคน้ำตาลที่จะนำมาซึ่งโรคไม่ติดต่อต่าง ๆ ทั้งเบาหวาน โรคอ้วน อันเกิดภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ
แนวทางหนึ่งที่เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานพยายามรณรงค์ คือการปรับขนาดซองน้ำตาลที่บริโภคเคียงคู่กับกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นโครงการเร่งด่วนที่ต้องทำงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการโรงแรมที่ใช้น้ำตาลซองเสิร์ฟระหว่างจัดประชุมต่าง ๆ ผู้ผลิตขนาดซองน้ำตาล รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภค
ท.พญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า คนไทยรับประทานน้ำตาลทางเครื่องดื่มโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อเวลาประชุมตามโรงแรมต่าง ๆ มักจะกินอาหารว่างถึง 2 ครั้งต่อวัน และทางโรงแรมมักจะใช้น้ำตาลซองเสิร์ฟพร้อมขนมหวาน ซึ่งปริมาณน้ำตาลในซองจะประกอบด้วย 6 กรัม เท่ากับ 1.5 ช้อนชา และ 8 กรัม (2 ช้อนชา) และส่วนใหญ่วางลงไปถึง 2 ซองในกาแฟ 1 ที่
"คนที่ไม่ชอบกินหวาน เทไปครึ่ง ซองทิ้งเลย ก็เกิดการสูญเปล่า อยากให้ประเทศไทยมีทางเลือก โดยเสนอให้ทำขนาดน้ำตาลซองให้เล็กลง" ท.พญ.ปิยะดา กล่าวและย้ำว่า ถ้าผู้บริโภคเกิดความเสียดาย เทใส่จนหมดทั้ง 2 ซองเท่ากับกินน้ำตาลถึง 5 ช้อนชา บริโภคน้ำตาลมากเกินแม้ไม่เกิดอันตรายในทันที แต่ถ้ากินบ่อย ๆ กินเป็นนิสัย ก็จะเป็นผลเสียกับร่างกายได้
ประเทศญี่ปุ่นมีทางเลือกในการลดการกินหวานด้วยการปรับปริมาณซองน้ำตาลให้มีขนาดเล็กลงคือขนาด 4 กรัม หรือเพียงช้อนชาครึ่ง
"คนไทยยังไม่รู้ว่าน้ำตาลที่บริโภคในซองนั้นมีขนาดกี่กรัม ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาด 8 กรัม เมื่อดื่มกาแฟหนึ่งแก้วเท่ากับบริโภคน้ำตาลถึง 4 ช้อนชาเกือบครึ่งหนึ่งของโควตาในแต่ละวัน แต่ทุกคนต้องบริโภคอาหารอย่างเช่นข้าว หรือก๋วยเตี๋ยว ขนมหวานต่าง ๆ รวมถึงผลไม้เหล่านี้ ซึ่งอาหารเหล่านี้มีน้ำตาลผสมอยู่แล้ว" ผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ระบุ
กลุ่มเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ได้ขับเคลื่อนลดขนาดซองน้ำตาลและฉลากโภชนาการพร้อมขับเคลื่อนสังคมเพื่อปรับพฤติกรรมในสโลแกน "หวานพอดีที่ 4 กรัม"
ทญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงวุฒิด้านทันตสาธารณสุข เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ได้นำเสนอผลการศึกษาเรื่องซองน้ำตาล พบว่า ภาคธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มหันมาผลิตน้ำตาลซองที่มีขนาดเล็กลงจากเดิมขนาด 8 กรัม มาเป็น 6 และ 4 กรัม มากขึ้น พร้อมเห็นด้วยที่จะผลิตน้ำตาลซองขนาด 4 กรัม สู่สังคมมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคกว่า 90% ยังไม่มีความรู้เรื่องขนาดซองน้ำตาล แต่มักจะมีพฤติกรรมเติมน้ำตาลตามที่จัดมาให้เพียงซองเดียวเสมอ
อย่างไรก็ตามในแนวทางที่คณะกรรมการขับเคลื่อนเด็กไทยไม่กินหวานได้หารือในเบื้องต้นนั้นเสนอให้มีการกำหนดสีของซองน้ำตาล โดยอาจแบ่งเป็น 3 สี ได้แก่ ซองสีเขียว, เหลือง, แดง ตามปริมาณที่บรรจุคือ 4, 6 และ 8 กรัมตามลำดับ ขณะเดียวกันมีข้อเสนอให้การประชุมของหน่วยงานภาครัฐใช้น้ำตาลซองเล็ก
ทางด้านนายชาติชาย โฆษะวิสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหารโรงแรมโฆษะขอนแก่น กล่าวว่า โรงแรมได้เปลี่ยนการใช้น้ำตาลจากซองขนาด 8 กรัม มาที่ 5 กรัม เมื่อปีที่ผ่านมาใน 1 ปีตามแนวนโยบายของโรงแรมที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ "ใช้เท่าที่พอดี" ซึ่งพบว่าแขกที่มาใช้บริการยังทิ้งน้ำตาลในซอง โดยเติมเพียงเล็กน้อย
ใน 1 ปีโรงแรมโฆษะ ต้องใช้น้ำตาลซองถึง 147,300 ซอง ราคาเฉลี่ยของน้ำตาลซอง 8 กรัม อยู่ที่ 50 สตางค์ ขณะที่น้ำตาลซองขนาด 5 กรัม อยู่ที่ 30 สตางค์ ลดการใช้น้ำตาลลงได้ 430 กิโลกรัม ทำให้โรงแรมประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำตาลซองลง 30,000 บาทต่อปี เงินจำนวนนี้นำไปมอบเป็นทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนได้ถึง 10 ทุน (ทุนละ 3,000 บาท)
"เราลดขนาดซองน้ำตาลแต่ไม่ได้มีเสียงต่อว่าจากแขกที่มาพัก กลับมองว่าตอนนี้เป็นเทรนด์ของการไม่กินหวานกำลังได้รับความสนใจ ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมาคนบริโภคหวานน้อยลง" ผู้บริหารโรงแรมโฆษะบอกเล่า
ความหวานจากน้ำตาลส่งผลให้สมองหลั่งสารความสุขไม่ต่างจากสิ่งเสพติดเช่น ฝิ่น เฮโรอีน แต่กว่าสมองสั่งให้สารความสุขออกมาต้องบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มรสหวานติดต่อกันบ่อยนั้นหมายถึงความหวานกำลังนำพาโรคเบาหวานเข้าสู่ชีวิต
กลไกของน้ำตาลเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกย่อยที่ลำไส้เล็กเป็นกลูโคส แล้วถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ตับอ่อนหลั่งอินซูลินนำพากลูโคสเข้าสู่เซลล์ เซลล์เผาผลาญเป็นพลังงาน สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อดึงเอาพลังงานไปใช้เลย น้ำตาลส่วนที่เกินจากการใช้งาน จะถูกเก็บไว้ที่กล้ามเนื้อ (ผลพวงจากกินน้ำตาลมากกว่า 6 ช้อนชาต่อวัน) จะถูกตับดึงไปเปลี่ยนเป็นไขมัน ไขมันเมื่อมากเกินจะไปสะสมที่กล้ามเนื้อและพุง ดังนั้นการกินหวานเกินจึงเป็นสาเหตุของโรคอ้วนลงพุง และเบาหวาน
น้ำตาลคือสารแห่งความสุข แต่เมื่อบริโภคมากเกินคือสารตั้งต้นของโรคเรื้อรัง
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดย พรประไพ เสือเขียว
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต