เตรียมกล้ามเนื้อ…เพื่อวิ่งระยะไกล
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการวิ่งมาราธอนเป็นกีฬาที่กำลังได้รับความสนใจจากคนไทยทั่วประเทศ จากการติดตามข่าวโครงการ "ก้าวคนละก้าว" เพื่อ 11 โรงพยาบาล คนไทยจำนวนมากจึงหันมาสนใจการออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองกันมากขึ้น และหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดก็คือการวิ่งมาราธอน
อ.ดร.นงนภัส เจริญพานิช คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า การวิ่งมาราธอนแบ่งตามระยะทางการวิ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ฟันรัน (5 กม.) มินิมาราธอน (10 กม.) ฮาล์ฟมาราธอน (22 กม.) ฟูลมาราธอน (43 กม.) และ อัลตรามาราธอน (มากกว่า 43 กม.) ซึ่งสามารถเลือกระยะทางการวิ่งได้ตามระดับความสามารถของตนเองโดยควรเริ่มจากระยะสั้น ๆ ก่อน แล้วค่อยพัฒนาเป็นระยะที่ยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งมาราธอนควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนเริ่มต้น
โดยเฉพาะความทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือดและความแข็งแรงของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ในด้านความทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือดนั้นอาจจะได้ยินกันมามากแล้วว่าการออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นเวลานาน ร่างกายจะต้องส่งออกซิเจนและอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อเผาผลาญให้ได้พลังงานอย่าง ต่อเนื่องตลอดเวลาการออกกำลังกาย อย่างไรก็ดีความแข็งแรงของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อก็เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับการวิ่งมาราธอนเช่นเดียวกัน
บางคนอาจคิดว่าก็แค่วิ่ง ทำไมกล้ามเนื้อต้องแข็งแรง จากการวิเคราะห์ทางชีวกลศาสตร์การกีฬาพบว่าการวิ่งในแต่ละก้าว ขาทั้ง 2 ข้างจะมีการเคลื่อนไหวเป็นวงจรที่ชัดเจนโดยเริ่มจากเมื่อส้นเท้าแตะพื้นร่างกายจะถ่ายเทน้ำหนักลงขาข้างที่สัมผัสพื้นพร้อมกับมีแรงถีบตัวจากเท้าตามเพื่อส่งให้ร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้า และสามารถยกเท้าตามไปวางทางด้านหน้าเพื่อให้เกิดการก้าวและเริ่มวงจรใหม่โดยสลับกันระหว่างเท้าซ้าย และเท้าขวา วงจรเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดแรงกระแทกผ่านทางส้นเท้าขึ้นมายังช่วงบนในทุก ๆ ก้าวของการวิ่ง ดังนั้น การวิ่งมาราธอนในแต่ละรอบจะหมายถึงการมีแรงกระแทกผ่านทางส้นเท้าขึ้นมาเป็นนับพันครั้ง
จึงพบว่านักกีฬามาราธอนส่วนใหญ่ จะพบอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าแข้งทางด้านหน้า หรือที่เรียกว่า Shin Sprint ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอักเสบของกล้ามเนื้อด้านข้างหน้าแข้ง การทำงานซ้ำ ๆ กันจำนวนมากนี้จะส่งผลให้เกิดการฉีกขาดของเส้นใยของกล้ามเนื้อ และหากยังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะมีการฉีกขาดเพิ่มขึ้นจนแสดงอาการปวดบริเวณนี้ได้ ซึ่งร่างกายจะมีกลไกเพื่อป้องกันตัวเองด้วยการสั่งให้กล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียงเกร็งค้างไว้เพื่อลดแรงกระแทกมายังจุดบาดเจ็บที่จะยิ่งส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อขึ้น และมีอาการปวดมากขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น หากมีการเตรียมความพร้อมให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเพียงพอต่อการวิ่งมาราธอน ก็จะลดการเกิดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ ซึ่งการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาอย่างแน่นอน