"เด็ก G" รอรัฐคืนสิทธิด้านสาธารณสุข
ที่มา : สยามรัฐ
ภาพโดย สสส.
จากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 เมษายน 2562 มีมติเห็นชอบในหลักการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิบุคคลที่มีปัญหารวมถึงบุตร ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ขึ้นทะเบียนมีเลขประจำตัว 13 หลักเรียบร้อยแล้วส่วนบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เพราะขาดหลักฐาน ให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องและรับรองการขึ้นทะเบียนของกลุ่มบุคคลดังกล่าวก่อน แล้วเสนอครม.พิจารณาต่อไปนั้น
นายวิวัฒน์ ตามี่ ผู้แทนมูลนิธิพัฒนาชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการขับเคลื่อนนโยบายสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขแก่กลุ่มผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ ในการประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน:ประชากรกลุ่มเฉพาะ จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่อิมแพ็ค ฟอรั่ม 2 เมือทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลประเทศไทยมีผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ ประมาณ 875,814 คน จำแนกเป็น 1.มีหลักเกณฑ์พิสูจน์สถานะ 5.6 แสนคน 2.ไม่มีหลักเกณฑ์ พิสูจน์สถานะ 208,631 คน 3.เด็กนักเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของประเทศไทยที่ยังไม่ได้ถือครองสัญชาติไทย หรือเด็กที่มีอักษร G นำหน้าเลขประจำตัวประชาชน 6.7 หมื่นคน และ 4.คนจีนโพ้นทะเล 3.8 แสนคน ซึ่งข้อมูลณ วันที่ 1 มกราคม 2561 มีปัญหาสถานะและสิทธิ ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขในกองทุนคืนสิทธิ 557,324 คน และไม่ได้รับสิทธิ 318,490 คน ในส่วนของเด็กนักเรียนรหัส G จำนวน 6.7 หมื่นคนอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ได้คืนสิทธิ โดยจะต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความถูกต้องและรับรองการขึ้นทะเบียนตามมติ ครม. โดยมอบให้มท.ดำเนินการทำเลข 13 หลักให้กับเด็ก ซึ่งมีการตั้งกรรมการระดับอำเภอและจังหวัดทั่วประเทศ
"ผ่านไป 4 ปีตั้งแต่ปี 2558 จนถึงล่าสุดวันที่ 7 มิถุนายน 2562 มท.สรุปตัวเลขรับรองการขึ้นทะเบียนเด็ก G จำนวน 3,200 คน จากทั้งหมด 6.7 หมื่นคน และบอกว่าน่าจะใช้เวลาอีก 7 ปี ถึงจะตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเสร็จ เป็นเรื่องที่ตลกมาก เด็กกลุ่มนี้ได้รับค่าใช้จ่ายรายหัวด้านการศึกษาจากรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้รับค่าใช้จ่ายรายหัวด้านรักษาพยาบาล การที่มท.ยังขึ้นทะเบียนเด็กได้ในจำนวนเท่านี้ จึงไม่สามารถเสนอครม.เพื่อให้เด็กกว่า 3,000 คน ที่ได้รับขึ้นทะเบียนได้รับการคืนสิทธิได้ เพราะตามเงื่อนไขของสำนักงบประมาณจะต้องมีการขึ้นทะเบียนให้แล้วเสร็จ 1 ใน 3 หรือราว 2 หมื่นคน ซึ่งทุกวันนี้เด็กเหล่านี้ทำได้แค่มีความหวังและนั่งสมาธิรอที่จะได้รับการคืนสิทธิด้านสาธารณสุขเท่านั้น"
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า การที่เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้สิทธิด้านสาธารณสุข ทำให้เมื่อเจ็บป่วยมีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูง ครอบครัวล้มละลายจากค่ารักษา นอกจากนี้ ส่งผลให้โรงพยาบาลรับภาระหนี้สินจากการให้บริการและเรียกเก็บไม่ได้ โดยในปีงบประมาณ 2558 มีค่ารักษาพยาบาลที่หน่วยบริการของสธ.เรียกเก็บไม่ได้เป็นจำนวนเงินกว่า 556 ล้านบาท ที่สำคัญคนทั่วไปสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อป่วยจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
บทเรียนสำคัญจากการผลักดันนโยบายเรื่องนี้ นายวิวัฒน์ บอกว่า มี 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ความรู้ความสามารถประสบการณ์ทำงานของทีมเลขานุการที่ทำหน้าที่ชงนโยบายต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) มีความสำคัญมากต่อความคืบหน้าหรือไม่ของนโยบายคืนสิทธิ 2.การขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดความต่อเนื่องหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารของหน่วยงานที่มีอำนาจตัดสินใจอยู่ในตำแหน่งต่อเนื่องหรือไม่ สนใจเอาใจใส่อย่างจริงจัง และจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ขับเคลื่อนนโยบายมาก่อนมากน้อยแค่ไหน 3.หน่วยบริการที่เป็นผู้รับผลประโยชน์โดยตรงเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบายการคืนสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขแก่เด็กนักเรียน G อย่างจริงจัง ด้วยการช่วยส่งเสียงเรียกร้องไปยังรัฐบาลและสาธารณะ ซึ่งจะช่วยให้เกิดพลังและส่งผลต่อนโยบายที่กำลังขับเคลื่อน และ 4.หากมีหน่วยงานหรือทีมประสานงานการสื่อสารสาธารณะสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายก็จะสามารถช่วยทำให้ขับเคลื่อนโยบายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล