เด็กไทยพัฒนาการเรียนรู้ต่ำ แนะอ่านสร้างศักยภาพลูก

นักวิชาการเปิดข้อมูลเด็กไทยพัฒนาการเรียนรู้ต่ำมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แนะพ่อแม่ป้องกันและสร้างเสริมศักยภาพลูกรักด้วยการอ่าน เผยแม่อ่านให้ลูกฟังในช่วงให้นมลูก 6 เดือนแรกจะยิ่งกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กได้มากขึ้น


นักวิชาการเปิดข้อมูลเด็กไทยพัฒนาการเรียนรู้ต่ำมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์


วันนี้ (8 สิงหาคม 2555) ที่อุทยานการเรียนรู้ทีเคปาร์ค ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านการอ่านจัดงานเวทีสาธารณะเรื่อง หนังสือและสื่อการอ่านเพื่อการพัฒนาสุขภาวะและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยมีนักวิชาการและประชาชนเข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนในงานครั้งนี้เป็นจำนวนมาก



นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า มีงานวิจัยที่ระบุอย่างชัดเจนว่าสมองของมนุษย์นั้นจะเติบโตมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ในช่วงอายุ 3-4 ปี  และพัฒนาการอื่นๆ ของร่างกายก็จะเติบโตมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุ 25 ปี สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ ในช่วงที่เด็กอายุ 3-4 ปีแรกนั้น จะเป็นเรื่องของการอ่าน ซึ่งมีการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านการอ่านนั้นจะมีพัฒนาการเรียนรู้และภาษามากกว่าเด็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการพัฒนาทั้งสองด้านนี้ เวลาที่แม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่เด็กนั้นจะทำให้ลูกได้รับสัมผัสที่อบอุ่นเพราะแม่ต้องอุ้มลูกให้นั่งในตักอยู่ในอ้อมกอด เป็นการยึดโยงความรักความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกให้เหนียวแน่น และเป็นการสร้างเซลล์สมองของลูกในช่วงอายุ 3-4 ปีให้เติบโตมากยิ่งขึ้นด้วย การอ่านเป็นการลงทุนระยะยาว และเป็นต้นทุนแห่งปฐมวัยของชีวิตที่เด็กๆ จะเติบโตขึ้นอย่างเฉลียวฉลาดและเป็นคนดีได้จากหนังสือที่เขาอ่านด้วย



ทั้งนี้ภายในงานได้มีการนำเสนองานวิชาการเรื่อง 6 เดือนนมแม่ สานสายใยรักแท้สู่ 6 ปีการอ่าน ของ  รศ.นิชรา เรืองดารกานนท์ ผู้อำนวยการหน่วยพัฒนาการเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โครงการพัฒนาศักยภาพประชากรไทย คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลอีกด้วยโดย รศ.นิชรา กล่าวว่า จากการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุตัวเลขอย่างชัดเจนถึงพัฒนาการทางสมองของเด็กๆ ในช่วงปฐมวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-2550 พบว่าเด็ก ๆ มีพัฒนาการทางภาษาล่าช้ามากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ตัวเลขพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้าของเด็กในต่างประเทศจะอยู่ที่ 5-15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งเด็กที่มีปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องได้รับการบำบัดรักษาและฝึกฝนในระยะเวลานาน หากแต่เราสามารถป้องกันและสร้างเสริมศักยภาพให้กับเด็กๆ ก่อนที่เด็กจะเข้าสู่สภาวะของพัฒนาการล่าช้าได้ โดยที่พ่อแม่ไม่ว่าจะในระดับไหนก็สามารถทำได้นั่นก็คือการส่งเสริมในเรื่องของการอ่านให้กับเด็กๆ นั่นเอง



รศ.นิชรา กล่าวอีกว่า พัฒนาการของเด็กทารกนั้นจะค่อยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเด็กในอายุ 12-15 เดือนถึงจะพูดได้ ซึ่งก่อนที่เด็กจะพูดได้นั้นจะต้องมีความเข้าใจในด้านภาษาและคำพูดประมาณ 50-200 คำ ถึงจะพูดคำแรกได้  โดยในระหว่างที่แม่ให้นมลูกก็จะสามารถสร้างการเรียนรู้ทางด้านคำศัพท์ให้ลูกฟังได้ด้วยการอ่านหนังสือนิทานหรือการเล่านิทานให้ลูกฟัง  ซึ่งเด็กๆ ที่ดื่มนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนนั้นน้ำหนักจะขึ้นเยอะและสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์และแข็งแรง การอ่านให้ลูกฟังไปพร้อมกับช่วงของการให้นมลูกนั้นจึงเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญที่ลงทุนต่ำแต่สร้างความคุ้มค่าระยะยาวให้ลูกรักของเราได้ โดยทางคณะของเรานั้นได้จัดทำโครงการแจกหนังสือนิทานเพื่อเป็นสื่อการอ่านให้กับการพัฒนาเด็กๆ ที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลของเรา โดยมีหลายครอบครัวที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ คณะเราได้ร่วมสังเกตการณ์และจดบันทึกข้อมูลเด็กๆ ที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้พบว่าเด็กที่เข้าร่วมโครงการมีพัฒนาการทางด้านสมาธิดีขึ้น พูดได้มากขึ้น พี่น้องในครอบครัวรักกันมากขึ้น และเด็กอารมณ์ดีขึ้น 



“ความรู้ของเด็กที่จะได้จากการอ่านนิทานอ่าน 1 เรื่องเด็กก็จะได้ความรู้มากขึ้นและได้คำศัพท์และการเรียนรู้ทางด้านภาษามากขึ้น หากพ่อแม่อ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟังตั้งแต่อายุ 4 เดือนอย่างสม่ำเสมอ จนเด็กอายุ 36 เดือนหรือ 3 ขวบ เด็ก ๆจะได้รับความรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการอย่างมหาศาล โดยเทียบเป็นสถิติได้ดังนี้ หากพ่อแม่อ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟังอย่างสม่ำเสมอทุกวันวันละ 1 เรื่อง จนเด็กอายุครบ 3 ขวบ เด็กก็จะได้รับความรู้จากหนังสือนิทานมากถึง 960 เรื่อง ถ้าอ่านอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 เรื่องเด็กก็จะได้รับความรู้ 390 เรื่อง สัปดาห์ละ 1 เรื่องเด็กก็จะได้รับความรู้จนถึง 3 ขวบ 128 เรื่อง การพัฒนาการมหาศาลก็จะเกิดขึ้นกับเด็กๆ หากพ่อแม่ใส่ใจและสนใจในเรื่องของการอ่านให้ลูก”รศ.นิชรากล่าว


 


 


 



ที่มา : สำนักข่าว สสส.


 

Shares:
QR Code :
QR Code