เครือข่ายด้านแรงงานข้ามชาติ เตรียมผลักดันจังหวัดตราด
เป็นพื้นที่ต้นแบบจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า
เครือข่ายทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ เตรียมผลักดันจังหวัดตราดเป็นพื้นที่ต้นแบบจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ที่ครบขั้นตอน ถูกต้อง แก่เด็กข้ามชาติ เผย 6 วิธี แก้ปมเด็กไร้รัฐ ชี้การจดทะเบียนการเกิดถือเป็นสิทธิพื้นฐาน ไม่ใช่การให้สัญชาติ วอนสังคมอย่าวิตก!
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 53 (เวลา 09.30 น) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก มูลนิธิรักษ์ไทย จังหวัดตราด และสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (swit) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องสิทธิแรงงานข้ามชาติและการจดทะเบียนการเกิด ณ โรงแรมเหลายาอินแลนด์รีสอร์ท จังหวัดตราด แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐในจังหวัดตราดที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการเรื่องการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้าแก่แรงงานข้ามชาติ ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมการอบรมเป็นจำนวนมาก อาทิ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นางสาวดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ ระบุว่า ขณะนี้ทางสถาบันได้มีการแบ่งแนวทางการจดทะเบียนการเกิดเด็กออกเป็น 6 สถานการณ์ คือ (1) เด็กที่เกิดในสถานพยาบาล (2) เด็กที่เกิดนอกสถานพยาบาล (3) เด็กไร้รากเหง้าเพราะพลัดพรากจากบุพการี (4) เด็กที่เกิดในพื้นที่พักพิงชั่วคราว เด็กที่หนีภัยความตาย (5) เด็กที่เกิดในต่างประเทศ (6) เด็กที่มาจดทะเบียนการเกิดหลังจากที่มีชื่อในทะเบียนราษฎร ซึ่งการจดทะเบียนการเกิดให้เด็กเหล่านี้ไม่ได้เป็นการให้สัญชาติแต่อย่างใด แต่เป็นการออกเอกสารการเกิดและการออกสูติบัตร เพื่อจะทำให้เด็กไปขอสัญชาติที่ประเทศตัวเองได้ง่ายขึ้น ถือว่าการดำเนินการเหล่านี้เป็นการให้สิทธิขั้นพื้นฐานที่บุคคลแม้ไม่มีสัญชาติไทยพึงมี ซึ่งอย่าไปเหมารวมกับสิทธิพลเมือง ซึ่งถือว่าเป็นคนละประเด็น
ขณะที่นางปัทมา เปลี่ยนประมุข ปลัดหัวหน้าฝ่ายทะเบียนและบัตรอำเภอเมืองตราด กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดตราดมีแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะงานประมงและรับจ้างทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมามีการนำบุตรหลานและครอบครัวของแรงงานข้ามชาติเข้ามา อีกทั้งมีการคลอดบุตรที่ประเทศไทยด้วย พ่อแม่ที่เป็นแรงงานข้ามชาติบางคนก็เข้ามาแจ้งเกิดเด็ก แต่บางคนก็ไม่มาแจ้งเกิดแต่อย่างใด จากการเข้าไปสำรวจข้อมูลในสถานศึกษาในอำเภอเมือง พบว่า เด็กที่เป็นบุตรของแรงงานข้ามชาติบางคนมีเลขประจำตัว 13 หลัก แต่บางคนก็ไม่มีเลขประจำตัวเนื่องจากอาจเป็นเพราะพ่อแม่เพิ่งเข้าประเทศไทยมาใหม่หรืออาจเป็นเพราะไม่ได้แจ้งเกิด การนำบุตรของแรงงานข้ามชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีเหตุผลทั้งตั้งใจนำบุตรเข้ามาเรียนหนังสือในประเทศไทย หรือต้องการให้บุตรของแรงงานได้เลข 13 หลักเพื่อที่จะได้สิทธิในการรับบริการจากกระทรวงสาธารณสุขในการประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ปลัดอำเภอเมืองตราดกล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้าของแรงงานข้ามชาตินั้นประเด็นแรก เราจะต้องมีการทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่ทำงานและมีความเกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ รวมถึงในส่วนของเจ้าของเรื่อง คือ แรงงานข้ามชาติด้วยว่า ก่อนที่จะคลอดบุตรจะต้องมีการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล สำหรับคนที่ไม่ได้คลอดบุตรในโรงพยาบาลก็ต้องมีการแจ้งเกิดของบุตรต่อเจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวแทนภาครัฐในพื้นที่ อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และในส่วนของโรงพยาบาลก็ต้องมีหน้าที่ในการทำใบแจ้งเกิด ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องมีความรับผิดชอบและต้องเข้าใจในหน้าที่ว่าต้องทำอะไร ซึ่งบางครั้งในการทำใบรับรองการเกิดจะต้องผ่านขั้นตอนในการตรวจดี.เอ็น.เอ. เพื่อใช้ในการพิสูจน์ความเป็นบุตรของเด็กกับพ่อแม่ซึ่งทาง อ.เมือง ไม่ได้ต้องการให้เป็นนโยบายหลักที่จะต้องให้ตรวจ ดี.เอ็น.เอ.อาจจะจัดให้เป็นวิธีการสุดท้ายด้วยซ้ำในการสืบพิสูจน์ความสัมพันธ์ มักเกิดปัญหาว่าแรงงานส่วนใหญ่มีความยากจน และมีความยากลำบากสำหรับการดำเนินการเพื่อเดินทางไปตรวจในส่วนกลาง จึงขอเสนอว่าต้องจัดให้มีสถานที่ในการตรวจใกล้และมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่านี้
ด้านนางวรรณา บุทเสน ผู้จัดการมูลนิธิรักษ์ไทย จังหวัดตราด ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก กล่าวว่า ตนทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดตราดมาหลายปี และที่ผ่านมาได้ทำงานเกี่ยวกับด้านโรคเอดส์กับกลุ่มแรงงานข้ามชาติมาโดยตลอด และพบว่ามีเด็กที่เสียชีวิตเนื่องจากโรคเอดส์เป็นจำนวนมาก แต่เด็กเหล่านี้กลับไม่มีหลักฐานอะไรเลย โดยส่วนใหญ่เมื่อพบว่า เด็กคนนี้ติดเชื้อเอดส์ หน่วยงานต่างๆก็จะไม่รับรองการเกิดแก่เด็ก แต่สำหรับปัจจุบันนี้ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่แล้ว เพราะแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีหลักฐานอะไรก็สามารถรับรองการเกิดได้ และกรณีพ่อแม่ไม่มีหลักฐานอะไร โรงพยาบาลก็ต้องให้การรับรองการเกิด แต่ถ้าบิดามารดายังอยู่กับเด็กหรือมีชีวิตอยู่ก็สามารถสืบสาวพิสูจน์ความเป็นบุตรได้ รวมถึงถ้าบิดามารดาไม่อยากไปแจ้งเกิดเองก็สามารถมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นไปแจ้งแทนได้
“ในขณะนี้ได้มีการหารือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัดในประเด็นเรื่องการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้าไว้แล้ว และมีความเห็นพ้องกันว่าจะทำอย่างไรให้มีการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ซึ่งในการอบรมในวันนี้ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติอยากตั้งคำถามให้ร่วมกันคิดดูว่า ขณะนี้ยังมีปัญหาเรื่องกระบวนการเกิดของเด็กข้ามชาติอีกหรือไม่ มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแรงงานข้ามชาติไม่รู้สิทธิและข้อมูลเหล่านี้อยู่อีกหรือไม่ และยังมีการคลอดบุตรนอกสถานพยาบาล อาทิ แอบไปคลอดบุตรในสวนยางอยู่อีกหรือไม่ จึงอยากให้มีการระดมปัญหาและแนวทางการแก้ไขเพื่อการผลักดันและพัฒนาการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้าในพื้นที่ให้คนเหล่านี้มีสถานะได้
ทั้งนี้ได้เลือกพื้นที่ในอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดเป็นพื้นที่ต้นแบบในการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า และคิดว่าได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่เป็นอย่างดี เนื่องจากในพื้นที่มีอาสาสมัครแรงงานข้ามชาติในชุมชนทำงานช่วยเหลืออยู่แล้ว และได้มีการจัดอบรมให้แก่อาสาสมัครในชุมชนอยู่ตลอดในประเด็นต่างๆ อีกทั้งยังมีล่ามแปลภาษาที่อยู่ประจำโรงพยาบาล ในการทำงานสื่อสารกับแรงงานข้ามชาติที่เข้ามารับบริการด้วย ซึ่งต่อไปนี้ทางคณะทำงานจะต้องทำให้เด็กที่เกิดในจังหวัดตราดทุกคน มีตัวตนในข้อเท็จจริง มีตัวตนทางด้านกฎหมายด้วย และทำให้ อ.คลองใหญ่ เป็นต้นแบบในการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้าของจังหวัดตราด และจะเป็นต้นแบบของประเทศไทยต่อไป” ผู้จัดการมูลนิธิรักษ์ไทยจังหวัดตราดกล่าวและว่า
ที่มา: พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล
update:25-05-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่