`อ่าวทุ่งนุ้ย` สร้างชีวิตยึดหลักพอเพียงพึ่งตนเอง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากแฟนเพจมูลนิธิสยามกัมมาจล
เยาวชนอ่าวทุ่งนุ้ย จังหวัดสตูล ร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชน
เสียงเด็กกลุ่มหนึ่งดังขึ้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย หอบอุปกรณ์จับปู เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยโคลน สีหน้ามีความสุข เมื่อเข้าไปพูดคุย เด็กๆ เล่าเสียงเจื้อยแจ้วว่า "ว่างจากเรียนหนังสือก็ชวนกันมาหาปูกันที่นี่ เมื่อเช้าเอาไปขายได้มา 300 บาท เอาไปให้แม่แล้ว" พร้อมอธิบายวิธีการใส่เหยื่อด้วยปลาตัวเล็กๆ อย่างชำนาญ ก่อนจะเดินจากไปเพื่อวางอุปกรณ์ดักปู ทิ้งความสนใจอ่าวทุ่งนุ้ยไว้ให้เราตามสืบต่อ
เมื่อได้พบกับ อารีย์ ติงหวัง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 บ้านหลอมปืน อ.ละงู จ.สตูล จึงเล่าให้ฟังถึงเด็กกลุ่มนี้ว่า เป็นเด็กในชุมชนที่ตนเห็นว่ามาหาปูที่อ่าวนี้มาหลายปีแล้ว หลังจากที่อ่าวทุ่งนุ้ยกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง หลังปลูกป่าโกงกางมาเป็นเวลาถึง 10 ปี
"ผลจากการบูรณาการร่วมกัน เช่น ป่าชายเลนสนับสนุนกิจกรรมเรื่องพันธุ์กล้าไม้ ประมง สนับสนุนพันธุ์กุ้งหอยปูปลาเพื่อไปปล่อย อบต.หนุนกิจกรรมของชุมชน ผลที่ได้คือ 1.เราได้ป่า 2.ทรัพยากรที่เข้ามาพวก หอย ปู ปลา ส่งผลถึงรายได้ รายได้ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของชาวบ้าน เช่น เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่นี่มี 2-3 กลุ่ม เขาจะมาตกปูหารายได้จากอ่าวนี้เป็นประจำ ถ้าเรามองอีกเรื่องหนึ่งคือ ภูมิปัญญาที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้เขาในเรื่องการวางที่ดักปู ควรจะวางตรงไหน อย่างไร นี่คือการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับลูกหลาน ตรงนี้ระบบการศึกษาของเรายังไม่มี เป็นความรู้ที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้ลูก แล้วลูกไปดักปูก็ได้มา มันตอบโจทย์เรื่องเศรษฐกิจฐานราก คือเศรษฐกิจที่ได้กับคนฐานรากจริงๆ ถึงแม้เงินจะไม่มาก แต่เป็นเงินที่เด็กจะภาคภูมิใจในตนเอง ที่มีส่วนซื้อข้าวสารให้กับครอบครัว ซื้อขนมกินเอง ที่นี้ถ้ามองเศรษฐกิจพอเพียงที่ "ในหลวง" บอก "พึ่งตนเอง" ตรงนี้ไปตอบโจทย์พึ่งตนเองได้ เด็กชุดนี้มีจักรยาน เขาอยากได้อะไรไม่ต้องไปแบมือขอพ่อแม่ เขาต้องหาเอาเอง ไม่ใช่แค่กลุ่มเด็ก ยังมีชาวบ้านบางคนที่ใช้เรือเล็กเข้ามาหารายได้จากตรงนี้ แกบอกว่าในแต่ละวันได้ประมาณ 500 บาท" ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 กล่าว
อารีย์เล่าต่อว่า ทรัพยากรอ่าวทุ่งนุ้ยในวันนี้ ได้สร้างมูลค่ามหาศาล หากตีเป็นตัวเงิน ไม่น่าเชื่อว่าเฉพาะหอย (หอยแครง หอยคราง หอยแดง) เพียงอย่างเดียว ที่เก็บข้อมูลไว้ได้ปีหนึ่งมีรายได้ถึง 17 ล้านบาททีเดียว นอกจากนี้อาชีพที่กำลังเข้ามาในอ่าวคือ จับกุ้งด้วยมือ เริ่มมีปลาดุกทะเลเข้ามา มีหอยสองฝาชนิดใหม่อาศัยอยู่ตามรากต้นโกงกาง โลละประมาณ 20 บาท แมงดาทะเลตัวหนึ่งราคา 120 บาท ขยันเก็บก็ได้เงินพออยู่พอกินแล้ว
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว พ.ศ.2545 อารีย์เล่าว่าเริ่มปลูกป่าโกงกางต้นแรกเพียงลำพัง จนทุกคนขนานนามว่า "ผู้ใหญ่บ้า" ด้วยความไม่เข้าใจในเจตนา แต่เมื่อต้นโกงกางเริ่มเติบโต งอกงาม ชาวบ้านเริ่มมองเห็นความตั้งใจ ถึงวันนี้ พ.ศ.2559 อ่าวทุ่งนุ้ยกลายเป็นของทุกคน ถูกจัดการภายใต้โครงการเชื่อมร้อยกลุ่มองค์กรในชุมชนภายใต้สภาปืนใหญ่บ้านหลอมปืน ผ่านกลไกกลางที่ชื่อ "สภาชุมชน" ประกอบด้วยคนในชุมชนมาร่วมกันดูแล ภายใต้โครงการเสริมสร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบพิบัติภัยสึนามิ โดยความร่วมมือของมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่นและมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ในที่สุดพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย กลายเป็นเขตพื้นที่ฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรประมง ชุมชนบ้านหลอมปืน ครอบคลุมพื้นที่ 0.32 ตารางกิโลเมตร ตามแผนการบริหารจัดการประมงชุมชนโครงการพัฒนาตามแผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย โดยมีกติกาชุม ชน 1.ละเว้นการใช้เครื่อง มืออวนล้อมจับน้ำตื้น, อวนทับตลิ่ง, อวนกระทุ้งน้ำ 2.ละเว้นการใช้เครื่องมือคราด ทำการคราดหอย 3.ห้ามใช้เครื่องมือลอบปูที่มีขนาดช่องตาอวนโดยรอบเล็กว่า 2.5 นิ้ว และ 4.ห้ามใช้เครื่องมือประมงที่ผิด กฎมายตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 (หมายเหตุ : จากเหตุการณ์สึนามิ ปี 2540 เรืออับปาง แหล่งหาอยู่หากินขาดแคลน ทำให้อาชีพประมงพื้นบ้านสูญหาย)
ส่วนป่าโกงกางตอนนี้ยังไม่ให้ใครเข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ที่ผ่านมาพบว่าป่ามีประโยชน์มากนอกจากเป็นแหล่งทรัพยากรแล้ว ยังเป็นที่กักขยะจากทะเลไม่ให้ทะลักเข้ามาที่ชุมชนอีกด้วย พอหมดหน้ามรสุม "สภาชุมชน" ก็ชวนเด็กๆ คนในชุมชนไปทำกิจกรรมเก็บขยะกัน
ในอนาคตเราจะทำป่าให้เป็นการท่องเที่ยงเชิงนิเวศเป็นแห่งเดียวใน จ.สตูล ที่มีระบบนิเวศ 3 แบบติดต่อกัน คือ ป่าชายเลนที่อยู่บนฝั่ง ป่าชายหาด และชายฝั่งที่อุดมสมบูรณ์ มีทั้งต้นไม้และกุ้งหอยปูปลาเป็นจุดขาย การท่องเที่ยวของเราจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงความรู้ เพราะเรามองว่าถ้าเราดูเด็ก 3-4 คนที่เข้ามาเป็นการถ่ายทอดการตกปู ที่นี้ถ้าการถ่ายทอดไปที่การรุนกุ้ง จะรุนกันอย่างไร แสดงว่าถ้าบ้านเขามีกุ้งเขาก็กลับไปทำได้ อาจจะเป็นคล้ายๆ ที่เรียนรู้เพื่ออาชีพ พอมันสมบูรณ์แล้ว
อารีย์รำพึงว่า บางทีทะเลเราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ เราจะทำอย่างไรให้คนที่มาใช้ประโยชน์เข้าใจและใช้ประโยชน์ได้นานๆ เรามองว่าอ่าวทุ่งนุ้ยเป็นประโยชน์กับชุมชน อ่าวทุ่งนุ้ยคือ เครื่องมือในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์และสร้างจิตสำนึกในหลายเรื่อง และอ่าวทุ่งนุ้ยก็ยังเป็นที่ทำกิน เป็นปอดของชุมชน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นความภาคภูมิใจของชุมชน เรื่องทำมาหากินเป็นผลพลอยได้ เพราะอ่าวทุ่งนุ้ยทำให้คนมารวมตัวกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้คนในชุมชน อ่าวทุ่งนุ้ยกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวชุมชนและจังหวัด และเป็นสมบัติของทุกคน
สุดท้ายอยากจะบอกกับชาวชุมชนทุกชุมชนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้นทุนที่เรามีอยู่คือฐานทรัพยากร ถ้าเรารักษาฐานทรัพยากรตรงนี้ได้ อย่างอื่นมันจะมาเอง แต่ต้องรักษามันก่อน อยากจะบอกชุมชนอื่นที่มีฐานทรัพยากรที่สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ก็แล้วแต่ อยากให้ช่วยกันดูแลรักษาไว้ เพราะจะสร้างอะไรได้เยอะในอนาคตให้กับลูกหลาน