อสม.บ้านน้ำริน อ.ปางมะผ้า หนุนคุณภาพชีวิตคนพิการ
ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์
แฟ้มภาพ
อสม. บ้านน้ำริน อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน มีความสนใจเรื่องของผู้พิการ โดยพบว่า ครอบครัวของผู้พิการยังขาดความรู้ในเรื่องของสิทธิต่างๆ รวมไปถึงแนวทางการดูแลผู้พิการอย่างถูกต้อง และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ
บ้านน้ำริน ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นชุมชนขนาดเล็กเพียง 183 ครัวเรือน อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 12 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์ลีซู และมีกลุ่มชาติพันธุ์ไทยใหญ่รวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง
จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ในชุมชนแห่งนี้มีผู้พิการจำนวน 12 คน โดยส่วนใหญ่ทางครอบครัวของผู้พิการยังขาดความรู้ในเรื่องของสิทธิต่างๆ ของผู้พิการและครอบครัวที่ควรจะได้รับ รวมไปถึงแนวทางการดูแลผู้พิการอย่างถูกต้อง และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ให้กับผู้พิการ
แต่ภายหลังจากที่ "มณีรัตน์ หลีจา" และ "พายัพ มังกรชัยศิลป์" สองอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านน้ำริน (อสม.บ้านน้ำริน) ที่มีความสนใจเรื่องของผู้พิการ และได้ไปเข้ารับการอบรม เพื่อพัฒนา "นักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการ" (นสส.) จากโครงการพัฒนาศักยภาพนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชนภาคเหนือ
พวกเขาจึงกลับมาสำรวจ และจัดทำฐานข้อมูลของผู้พิการในชุมชน (International Classification of Functioning Disability and Health) หรือไอซีเอฟ (ICF) อย่างเป็นระบบ พร้อมจัดทำ "โครงการพัฒนานักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมบ้านน้ำริน" ขึ้น เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับผู้พิการชุมชนของตนเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักสร้างสรรค์โอกาส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
"เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้ว่าคนที่พิการนั้นต้องการอะไรบ้าง เป็น อสม.ก็รู้แค่ว่าบ้านนี้มีคนพิการ แต่ภายหลังจากการไปอบรม นสส.มาแล้วก็ทำให้เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อผู้พิการ จากเดิมที่ไม่ค่อยได้รู้ว่าความรู้สึกลึกๆ ของคนพิการนั้นเขาต้องการอะไร คิดยังไง แต่พอได้นำเอาเครื่องมือ ICF มาใช้ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของเขาได้ และสามารถช่วยเหลือหรือสนับสนุนในสิ่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง" มณีรัตน์ กล่าว
ขณะที่ "พายัพ" เล่าว่า หลังจัดทำฐานข้อมูลต่างๆ จึงพบความต้องการที่แท้จริง ก่อนนำไปสู่การหาหนทางในการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสถานที่บ้านเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าห้องน้ำได้อย่างสะดวก หรือวิธีการต่างๆ เพื่อทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"เมื่อค้นพบปัญหาและความต้องการ ก็จะพยายามหาหน่วยงานที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งการที่ได้ไปอบรม นสส. ทำให้เราได้พบช่องทางใหม่ๆ ในการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ และแนวทางใหม่ๆ ในการช่วยเหลือผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล พัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาชุมชน หรือแม้แต่หน่วยงานด้านการเกษตร ซึ่งทำให้งานของ นสส.กว้างขึ้น พบปะผู้คนหลากหลายมากขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถช่วยเหลือดูแลคนพิการได้มากขึ้นด้วย" พายัพ กล่าว
งานลำดับแรกๆ ที่ นสส.บ้านน้ำรินได้ดำเนินงาน นอกจากการสำรวจความต้องการของผู้พิการ คือการทำให้ผู้พิการเข้าถึง "สิทธิ" ต่างๆ ที่ควรได้รับ เพื่อให้มี "บัตรประจำตัวคนพิการ" จะทำให้ได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือรายเดือน รวมถึงงบประมาณจากหน่วยงานต่างๆ ในการเข้ามาฟื้นฟูปรับปรุงดูแลคุณภาพชีวิตของคนพิการและดูแลให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผู้พิการในชุมชนบ้านน้ำรินทุกคนได้รับและเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่างๆ จากภาครัฐอย่างครบถ้วน
"เรามีเป้าหมายในการสร้าง นสส.ในชุมชนเพิ่มเป็น 10 คน ถามว่าเพราะอะไรในเมืองมีคนพิการไม่กี่คน ตรงนี้ถ้าเรามีคนที่มีความรู้มีความเข้าใจตัวผู้พิการในชุมชนมากขึ้น แน่นอนว่าจะสามารถดูแลคนพิการทุกคนได้อย่างทั่วถึง แต่มีอีกคนหนึ่งที่สำคัญที่เราต้องดูแลก็คือ ผู้ดูแลคนพิการ การมี นสส.ก็จะทำให้เราสามารถไปเยี่ยมเยียนพูดคุยให้กำลังใจผู้พิการ ผู้ดูแล และครอบครัวได้บ่อยมากขึ้น เพราะเรื่องของกำลังใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะบางครั้งคนที่ดูแลก็มีภาวะซึมเศร้า และการที่มีคนทำงานหลายคนก็จะสามารถช่วยทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว" มณีรัตน์ กล่าว
ด้าน "พายัพ" กล่าวเสริมว่า "การเป็น นสส.จะมีความรู้ต่างๆ ที่มากกว่า อสม. ทั้งเรื่องการทำกายภาพบำบัด การนวดแผนโบราณ การรักษาแผล ดูแลแผลกดทับสำหรับผู้พิการ ซึ่งนอกจากเราจะช่วยผู้พิการในชุมชนได้แล้ว ความรู้ที่เรามียังสามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ในชุมชนได้" พายัพ กล่าว
ปัจจุบันแม้ว่าคนพิการทั้งหมดในชุมชนจะเข้าถึงสิทธิและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และดูเหมือนว่างานของ นสส.น่าจะหมดลงไป แต่ทั้ง "มณีรัตน์" และ "พายัพ" ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาอยากเห็นคนพิการและคนในครอบครัวของคนพิการมีความสุข อย่างน้อยสิ่งที่ทั้งคู่ได้ทำอยู่ก็สามารถกระตุ้นให้คนในชุมชนหันมาใส่ใจ และสนใจดูแลรักษาสุขภาพของตนเองมากขึ้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะพาตัวเองไปเป็นคนพิการในอนาคต
"เป้าหมายจริงๆ ผมอยากเห็นผู้พิการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น จากเดินไม่ได้ก็อยากเห็นเขาเดินได้ อยากให้การทำงานของเราเป็นตัวอย่างให้คนในชุมชนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีความเสี่ยงในการจะเป็นคนพิการน้อยลง บางคนอาจจะเลือกการไปทำบุญที่วัด แต่ผมเลือกที่จะทำบุญกับคนพิการและผู้ยากไร้ ซึ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขได้เช่นกัน" พายัพ ระบุ
"อยากให้ทุกคนหายกลับมาเป็นปกติ อยากเห็นทุกคนมีรอยยิ้ม บางครั้งการที่เขามีความสุขไม่ได้เกิดจากการมีเงินไปมอบให้ แค่การไปเยี่ยมเยียนพูดคุยให้กำลังใจ เขาก็มีความสุขแล้ว ซึ่งรอยยิ้มของคนพิการและครอบครัวก็คือความสุขของเราด้วยเช่นกัน" มณีรัตน์ กล่าวสรุป
นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ "จิตอาสา" สวมบทบาท "นักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการ" นำองค์ความรู้ต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือและฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการอย่างมีส่วนร่วม กับสมาชิกในครอบครัวและคนในชุมชน นอกจากช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พิการในชุมชนดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ครอบครัวของผู้พิการและสมาชิกในชุมชน มีความรู้ เกิดความตระหนักในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองมากยิ่งขึ้น จะส่งผลให้ชุมชนสามารถยกระดับ และพัฒนาไปสู่การเป็นชุมชนที่มีสุขภาวะอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต