ห่วงภัยธรรมชาติ ซ้ำเติมวิกฤตโควิด

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


ห่วงภัยธรรมชาติ ซ้ำเติมวิกฤตโควิด thaihealth


แฟ้มภาพ


สสส.ผนึกภาควิชาการ เตือนสติเฝ้าระวังภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดการณ์ขึ้น  เช่น น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม หวั่นไทยเจอภัยธรรมชาติควบคู่โควิด-19


แม้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด 19  ที่ผ่านมาจะคลี่คลายแล้ว แต่นักระบาดวิทยา ก็ยังแสดงความเป็นห่วง เตือนคนไทยการ์ดอย่าตก เพราะหากมี Second Wave หรือการระบาดรอบสอง ประกอบกับหากเกิดภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดการณ์ขึ้น เช่น น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม จะกลายเป็น ภัยพิบัติซ้ำซ้อน


เมื่อไม่นานมานี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ภัยพิบัติ จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ "ภัยพิบัติ ซ้ำซ้อน (Compound Hazard) ความเสี่ยงโอกาสและแนวทางการรับมือเพื่อลดทอนการเกิดภัยพิบัติระดับพื้นที่" เพื่อวิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ และสานพลังภาคีเครือข่ายและชุมชนในการ รับภัยพิบัติด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมตามแนวทางชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)


วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สสส. ได้ผลักดันให้เกิดภาคีเครือข่ายภัยพิบัติ กระจายกันทำงานอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติและโรคระบาดต่างๆ โดยพบว่า ชุมชนหรือพื้นที่ที่มีเครือข่ายทำงานอยู่ สามารถรับมือกับสถานการณ์ปัญหาที่เกิดได้ดี หรือเรียกได้ว่า 'ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย' เพราะมีการเตรียมตัวที่ดี โดยภายในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ สสส. จัดขึ้นครั้งนี้ จะได้เติมความรู้ให้กับภาคีเครือข่ายภัยพิบัติในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งจากวิกฤตโควิด-19 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมาย สรุปได้เป็นสามเรื่องใหญ่ หรือที่เรียกว่า 3D


"D แรกคือ Deglobalization การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ เราจะหวังพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องรวมกลุ่มกันเพื่อพึ่งพากันเองภายในภูมิภาค อย่างที่เครือข่ายภัยพิบัติทำได้ดี ในโครงการข้าวแลกปลาจากชาวนาถึงชาวเล ต่อมา Digital Transformation หรือ Digital Disruption การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล หรือการมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เรื่องนี้เครือข่ายภัยพิบัติต้องมีการปรับตัว และนำรูปแบบที่ทันสมัยของเทคโนโลยีมาใช้ในการเฝ้าระวัง และรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างแม่นยำ และ Social Distancing การรักษาระยะห่าง ซึ่งเป็นชีวิตวิถีใหม่  ที่ไม่อาจจัดประชุมกันบ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อนได้ แต่เราก็ต้องมีการคิดค้นหาวิธีการใหม่ในการ ทำงานเชิงพื้นที่" วิเชษฐ์ กล่าว


ด้าน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์  ผู้อำนวยศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้นำข้อความจากสหประชาชาติที่ว่า "แม้เราจะค้นพบวัคซีนป้องกันโควิดได้ เราจะไม่มีวัคซีนป้องกัน Climate Change ได้เลย" เพื่อเตือนให้ประชาชนตื่นตัวในสัญญาณการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับ New Normal ของธรรมชาติเช่นกัน


"ความปกติใหม่ (New Normal)  ของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมัน เกิดขึ้นแล้ว ทุกคนต้องยอมรับว่าอุณหภูมิโลกได้สูงขึ้น และจะไม่มีวันลดลง หรือ กลับไปเหมือนเดิมอีก ฝนจะตกหนักขึ้น แล้งจะรุนแรงมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะมี ความถี่ของการเกิดภัยพิบัติมากขึ้น ในอดีต เราจะเห็นว่า 3-4 ปี จึงจะเกิดภัยแล้งหนัก แต่ระหว่างปี 2558 – 2563 ภัยแล้งเกิดขึ้นทุก ๆ ปี ส่วนอุทกภัยหรือน้ำท่วมที่รุนแรงมากในปี 2554 เราจะเห็นว่ากว่า 70 ปี จึงเกิดขึ้น แต่มันจะกลายมาเป็น 10 ปี จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอนาคต


สิ่งนี้เองเป็นสัญญาณบอกกับมนุษย์ว่า ถ้าเราไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับ New Normal นี้ เราก็จะอยู่อย่างยากลำบาก ทุกคนต้องตระหนักและปรับตัว ฤดูแล้งยังจะปลูกข้าวแบบเดิม ๆ อีกไหม จะตั้งถิ่นฐานหรือทำโครงการจัดสรรริมน้ำอีกจะได้ไหม ถึงเวลาแล้วที่ชุมชนต้องลุกมาใส่ใจในการจำลองความเสี่ยง รวบรวมฐานข้อมูลของความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ จะได้รู้ว่าเราจะสู้จะรับมือเพื่อลดทอนภัยพิบัติอย่างไร" รศ.ดร.เสรี กล่าว


สำเริง แสงภู่วงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)กล่าวว่า วันนี้แหล่งน้ำทั้งหมดของประเทศ ทั้งที่เป็นอ่างเก็บน้ำกรมชลประทาน  การไฟฟ้าฝ่ายผลิต รวมทั้งแหล่งน้ำตามธรรมชาติ มีปริมาณน้ำรวม 34,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยคาดการณ์ว่าหากมีปริมาณฝนตกลงมาสิ้นสุดปลายฝนนี้  ณ วันที่ 1 พ.ย. 2563 จะมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 46,900 ลูกบาศก์เมตร เทียบกับปี 2562 ก็มีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน นั่นแสดงว่า ปีหน้าก็ยังมีโอกาสเสี่ยงกับภัยแล้งใน บางจุดเหมือนเดิม แต่ทั้งนี้ก็เป็นการ คาดการณ์จากปริมาณน้ำจากฤดูฝนธรรมดา ยังไม่รวมถึงการคาดการณ์เมื่อเกิดพายุ เข้ามาที่ประเทศไทย ยังเบาใจไม่ได้


ถ้าโชคดีพายุเข้ามาทางภาคอีสานและภาคเหนือ ที่ยังขาดน้ำอยู่ก็จะเกิดประโยชน์ แหล่งน้ำยังไม่เต็มลำน้ำมีพื้นที่ว่าง ดินยังขาดความชื้นสามารถอุ้มน้ำได้ แต่ถ้าในเดือน ก.ย. 63 ฝนตกหนักที่ภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มโอกาสเกิดน้ำท่วมขังก็จะมีมาก ภาคกลางจึงมีความเสี่ยงอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็ยังเป็นพื้นที่เสี่ยงเช่นกัน สำหรับภาคตะวันออก อย่างจันทบุรี ตราด ก็คงหนีไม่พ้น อย่างไรก็ตามการคาดการณ์นี้ จะเป็นประโยชน์ได้ ก็ต้องมีกลไกจากเครือข่ายประชาชนและชุมชน ที่ต้องร่วมกันเฝ้าระวัง


เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพการทำงาน ลดทอนปัญหาภัยพิบัติซ้ำซ้อนในกลุ่มเปราะบาง ได้มีการจัดทำแอปพลิเคชัน D-2R Disaster Risk Assessment – Covid 19 ระบบติดตาม ประเมินความเสี่ยงโควิด-19 ระดับพื้นที่หน่วยตำบล สำหรับเจ้าหน้าที่ อสม.ในเครือข่ายระดับพื้นที่ 22 แห่ง โดยแอปฯ ดังกล่าวอยู่ระหว่างการประมวล และพัฒนาสถานการณ์จำลอง (Scenarios) เพื่อนำไปสู่การใช้งานจริงในเร็ว ๆ นี้

Shares:
QR Code :
QR Code