ห่วงกระแสเฟอร์บี้ฟีเวอร์ เตือน 7 ผลร้ายต่อเด็ก

เตือนผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ห่วงกระแสเฟอร์บี้ฟีเวอร์ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กวัยรุ่นอยู่ในขณะนี้ เกิดพฤติกรรมร้าย 7 ชนิด สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องสังเกตคือ  เด็กลืมคุยสังคม จมกับของเล่น เป็นนอนดึก ฝึกนึกก้าวร้าว เข้าใจไปเอง ไม่วิ่งเล่นสมวัย กลายเป็นเด็กอมโรค

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัจจุบันมีของเล่นไฮเทคหลายชนิดที่เข้ามาในประเทศไทย ล่าสุดก็ตุ๊กตาพูดได้หรือเฟอร์บี้ที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งแม้ของเล่นต่าง ๆ จะมีความทันสมัยสร้างความเพลิดเพลินให้กับเด็กๆ ก็ตาม แต่ผู้ใหญ่ก็ควรให้ความใส่ใจเพราะอะไรที่มากเกินไปก็อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี โดยผู้ใหญ่เองอาจคาดไม่ถึง

“เบื้องต้นมีผลร้าย 7 อย่างที่เห็นได้ชัดสำหรับเด็กที่หมกมุ่นอยู่กับการเล่น คือ 1. ลืมคุยสังคม คือ เด็กที่จมอยู่กับเกมไฮเทคหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในบางครั้งก็ห่วงเล่นจนลืมกินข้าว ลืมทำการบ้าน หรือบางครั้งลืมหลับนอนเลยก็มี การไม่เงยหน้าขึ้นจากของเล่นถ้าเป็นเวลานานๆ จะทำให้ไม่คุ้นชินกับการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และอาจกลายเป็นคนไม่เป็นมิตรต่อสังคมได้  2. จมกับของเล่น  ของเล่นยุคใหม่มีเทคนิคล่อใจ ทั้งพัฒนาเป็นตุ๊กตาพูดได้ คล้ายมีชีวิตอย่างเฟอร์บี้ก็ยิ่งทำให้ติดจนไม่อยากวาง  และถ้าเด็กนำไปโรงเรียนด้วยก็จะยิ่งทำให้เสียสมาธิในการเรียน หรือกลับบ้านมาวิ่งหาของเล่นก่อนคุณพ่อคุณแม่ ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง 3. เป็นเด็กนอนดึก  เด็กที่ติดของเล่นจนลืมเข้านอนตามเวลาที่ควรจะทำให้กลายเป็นเด็กแกร็น ไม่โตได้ เพราะการนอนดึกในเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยที่ยังไม่ถึง 20  ปีจะมีผลไปกดโกร๊ทฮอร์โมนหรือเคมีตัวสูงช่วยให้เด็กโตเต็มวัย มีกล้ามเนื้อและที่สำคัญคือโกร๊ทฮอร์โมนช่วยให้สมองดีได้ด้วย” 

นพ.กฤษดากล่าวเพิ่มเติมว่า 4. ฝึกนึกก้าวร้าว  เด็กที่หมกมุ่นอยู่กับของเล่นเสมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงไฮเทค หรือเกมในแท็บเล็ตที่ดูเสมือนเล่นกับสัตว์ คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาให้ลูกได้พบเจอสัตว์จริงๆ บ้าง การที่เด็กอยู่กับของเล่นเสมือนสัตว์พวกนี้ตลอดเวลาจะทำให้จิตใจติดอยู่แต่ในกรอบสัตว์ของเล่นเท่านั้น  และคิดจะคิดว่าสัตว์มีชีวิตตายก็คิดว่าเสียเหมือนของเล่นที่ซ่อมใหม่ได้ และถ้ารุนแรงจนเข้าใจผิดว่าสัตว์ไม่มีชีวิตจิตใจเหมือนของเล่นจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าวทำร้ายสัตว์เล็กๆ และลามเกเรรวมไปถึงเพื่อนเด็กคนอื่นๆ ได้  5. เข้าใจไปเอง  เด็กที่อยู่กับของเล่นนานๆ อาจมีอาการพูดคนเดียวได้  แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายคือ พัฒนาการพูดและพัฒนาการสมองอาจช้าลง คือเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่ของเล่น เสมือนจริงเท่านั้น  ทั้งนี้สมองของเด็กยังไม่อาจแยกแยะเสียงแท้หรือเสียงเทียมได้อย่างชัดเจน  ก็อาจทำให้เด็กเลียนเสียงตามของเล่น  กลายเป็นเด็กเสียงการ์ตูนไป 6. ไม่วิ่งเล่นสมวัย เด็กที่จมอยู่กับของเล่นทั้งวันจะทำให้ไม่ยอมออกไปวิ่งเล่นตามวัย ยิ่งเด็กในวัยเรียนยิ่งขาดทักษะการเล่นไม่ได้เลย โดยเฉพาะการวิ่งเล่น ว่ายน้ำ เล่นกีฬาหรือว่าเล่นกับเด็กคนอื่นๆ  เพราะการเล่นเป็นการต่อยอดทักษะอื่น อาทิ การขยับกายบ่อยๆ ช่วยฝึกสมอง หรือการวิ่งเตะบอลกับเพื่อนสักแค่ครึ่งชั่วโมงก็มีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อกับกระดูกแข็งแรง การออกกำลังกายตามวัยแค่วันละไม่กี่อึดใจช่วยให้สมองดี และมีพัฒนาการทางความสูง ได้แต่ถ้าถูกจับให้ติดอยู่กับของเล่นที่เสียเวลาไปเป็นชั่วโมงจะทำให้เด็กเฉื่อยและกลายเป็นเด็กอ้วนแทน

“และสุดท้ายคือ 7. กลายเป็นเด็กอมโรค สิ่งที่ไม่ควรวางใจในของเล่นคือ เป็นแหล่งเพาะโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางเดินหายใจ อย่าง ไข้หวัด,ไข้หวัดใหญ่, ภูมิแพ้ หรือโรคผิวหนังอย่าง ผื่นคัน, เป็นแผลตามปากและจมูก, ตุ่มฝีตามตัว, โรคมือเท้าปาก ไปจนถึงโรคติดเชื้อเล็กๆ น้อยๆ  นั่นเป็นเพราะของเล่นเหล่านี้มีที่เก็บเชื้อ เช่น  ตุ๊กตาขนปุยก็จะอมเชื้อไว้ที่ขนนุ่มๆ นั้น ได้ก่อให้เกิดภูมิแพ้จากไรฝุ่นและขนละเอียด ส่วนคอมพิวเตอร์ไฮเทคแบบแท็บเบล็ตที่ใช้นิ้วสัมผัสก็พาโรคมาทางการสัมผัส ทั้ง โรคหวัด, มือเท้าปาก หรือตาแดง เจ็บตา การใช้ของเล่นที่ผิดวิธีหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจนำมาซึ่งผลร้าย ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ควรมองข้าม”

 

 

ที่มา : ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ 

 

Shares:
QR Code :
QR Code