หยุดสิ่งมอม “เมา” ปัญหาที่รอการแก้ไข

 

เป็นเรื่องแล้วไหมล่ะ? จากการที่เด็กและเยาวชนไทยรวมกลุ่มกันเป็นร้อย เดินทางเข้าทำเนียบเรียกร้องให้ภาครัฐเอาจริงเอาจังกับพระราชบัญญัติควบคุมน้ำเมาให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที เพราะไม่รู้กี่รัฐบาลมาแล้ว ต่างพูดและเป็นห่วงเยาวชนคนไทยที่จะกลายเป็น ผู้ใหญ่ขี้เมาในอนาคต โดยการจะปราบปรามควบคุม กำจัด ให้น้ำเมามันหมดไปจากสังคมเยาวชนไทย ในรูปลักษณ์ของการ “มอมเมา” เสียที แต่ก็ไม่เห็นสำเร็จสักครั้ง

เครือข่ายเยาวชนฯ กว่า 100 ชีวิต ที่บุกทำเนียบ ได้ยื่นข้อเสนอรวมทั้งสิ้น 3 ข้อ ให้เร่งคลอดมาตรการคุมร้านเหล้าผับบาร์รอบสถานศึกษา หลังถูกดองมานานกว่า 3 ปี วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้ พ.ร.บ.คุมน้ำเมา และขอรัฐบาลตั้ง ครม. สังคม เป็นของขวัญวันเยาวชนแห่งชาติ เพราะหากเยาวชนไทย ถูกมอมเมาด้วย น้ำเมาจนโงหัวไม่ขึ้นตั้งแต่วันนี้วันหน้าอนาคตของชาติไทยคงไม่สดสวยเท่าไรแน่ๆ

น.ส.ปริยาภรณ์ ซิ้มสุวรรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ พร้อมด้วยมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กว่า 100 คน ที่เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ผ่านทาง นายประสิทธิ์ชัยวิรัตนะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ให้เหตุผลในการรวมตัวกันครั้งนี้ว่าเพื่อต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นถึงปัญหา ผลกระทบที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการควบคุมปัญหาร้านเหล้าปั่นและร้านเหล้ารอบสถานศึกษาที่มีความหนาแน่น และขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบทุกร้านมีทั้งการติดป้าย จัดโปรโมชั่นเพื่อล่อใจให้ดื่ม

นอกจากนี้ข้อมูลวิชาการยังระบุ เยาวชนกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 3 แสนคนต่อปี และอายุต่ำสุดที่สำรวจพบ คือ 7 ปี ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีมาตรการจัดโซนนิ่งร้านเหล้ารอบสถานศึกษา ออกเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้ ทั้งที่สามารถออกได้ตามอำนาจของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 จึงหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะพยายามผลักดันเพื่อบังคับใช้อย่างจริงจังเสียที

จากปัญหาข้างต้น เครือข่ายเยาวชนจึงขอเสนอข้อเรียกร้อง ให้รัฐบาลนำไปพิจารณา เพื่อเป็นของขวัญเนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2554 ได้แก่ 1.ขอให้เร่งผลักดันมาตรการควบคุมร้านเหล้า ผับบาร์ รอบสถานศึกษา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชน 2.ขอให้เร่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กับสถานประกอบการที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ฝ่าฝืนจัดรายการส่งเสริมการขายลด แลก แจก แถม เพื่อดึงดูดลูกค้าที่เป็นเยาวชน นักเรียนนักศึกษา รวมถึงฝ่าฝืนจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และ 3.ขอให้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีด้านสังคมซึ่งประกอบด้วยกระทรวงซึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านสังคม เช่นกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเข้ามาดูแล ป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมเป็นการเฉพาะเสียทีจะได้ยุติแนวโน้มของปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า

ในฐานะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้าใจว่า น่าจะตระหนักเห็นถึงความสำคัญของเยาวชน และน่าจะเข้าใจถึงปัญหาที่จะเป็นตัว “ดับอนาคต” ของเยาวชนได้ดีกว่า รัฐมนตรีหงำเหงอะ ที่มัวแต่มะงุมมะงาหรา กว่าจะสั่งการแก้ปัญหาอะไรสักทีก็ดูเหมือนว่า ขยะที่มันลอยมาอยู่หน้าบ้าน มันลอยผ่านไปจนยากที่จะแก้ไขได้แล้ว

แล้วสุดท้าย ผู้นำเยาวชนผู้นี้ก็หยอดคำคมลงไปให้ได้ยินกันชัดๆ ว่า “เยาวชนหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะมี ความจริงใจคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนมากกว่าผลประโยชน์ของธุรกิจเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และเชื่อว่าเยาวชนและผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับมาตรการเหล่านี้ เพราะหากไม่มีการบังคับใช้เชื่อว่าผู้ประกอบการจะยิ่งไม่ใส่ใจ ไม่คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น ทั้งความรุนแรงจากการทะเลาะวิวาท อุบัติเหตุ รวมถึงปัญหาเรียนไม่จบ”

ได้เห็นกิจกรรมของเยาวชนในครั้งนี้ แม้ปริมาณของจำนวนเยาวชนที่เดินทางไปทำเนียบรัฐบาลจะไม่ทำให้ เกิดความตื่นตระหนกกับเจ้าหน้าที่ในทำเนียบ แต่ก็ทำให้เห็นว่า เด็กกลุ่มนี้กำลังเป็น “เด็กสร้างบ้าน” ตามคำพังเพยแบบไทยๆ ที่ว่า  “คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง” ได้เป็นอย่างดี

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องมาตรการต่างๆ ที่เคยทำมาจะเป็นอย่างไร ลองมาฟัง นายสุเทพ สดชื่น ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา ที่เขาสรุปมาให้ทราบว่า ทั้งมาตรการจัดโซนนิ่งร้านเหล้ารอบสถานศึกษาและควบคุมเหล้าปั่น เครือข่ายเยาวชนได้ผลักดันมาตลอดระยะเวลา 3 ปี ในทุกๆ รัฐบาล แต่เรื่องกลับถูกดองอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ สวนทางกับความต้องการของประชาชนที่สะท้อนออกมาว่า มากกว่า 80% ที่สนับสนุนมาตรการนี้ แต่กลับไม่มีรัฐบาลไหนใส่ใจในการปกป้องลูกหลาน ทั้งๆ ที่งานวิจัยข้อมูลต่างๆ ระบุชัดว่าผลกระทบเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนรุนแรงขึ้นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีให้เห็นทุกวัน วันนี้เราจึงอยากเห็นความกล้าหาญของรัฐบาลนี้ และหวังว่าการที่เรามีนายกรัฐมนตรีเป็นเพศแม่ จะเข้าใจปัญหาของเด็กและเยาวชนมากขึ้น

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี

Shares:
QR Code :
QR Code