หญิงทำงานถูกคุกคามทางเพศเพิ่ม

 

กสม.ผนึกกำลังมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล หาแนวทางแก้ไขภัยคุกคามทางเพศในที่ทำงาน เผยสถิติพุ่งสูง 5% กระตุ้นผู้หญิงออกมาเรียกร้องสิทธิ์

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จับมือมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สะท้อนปัญหาความรุนแรงทางเพศและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะภัยคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อกระตุ้นให้ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อตระหนักและออกมาปกป้องสิทธิ โดยพบยอดผู้ที่ถูกกระทำรุนแรง ถูกล่วงเมิดทางเพศ และถูกล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2553-2555) พุ่งสูง อยู่ที่ 2,574 ราย หรือคิดเป็น 5% ซึ่งแบ่งเป็นผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนรวม 1,340 เรื่อง และคิดเป็น 122 เรื่องที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านเด็ก สตรี และความเสมอภาคของบุคคล โดยสถานที่ที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อนั้น ได้แก่ สถานที่ทำงานในหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานเอกชน

นางวิสา เบ็ญจะมโน ประธานอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านเด็ก สตรี และความเสมอภาคของบุคคล กล่าวว่า ภาพรวมภัยคุกคามและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กและสตรีมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภัยคุกคามในที่ทำงาน ซึ่งตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2556 จนถึงปัจจุบันนั้นมีจำนวนผู้มาร้องเรียนกับหน่วยงานคิดเป็น 5-6 ราย ซึ่งเกิดจากผู้มีอำนาจกระทำต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เช่น ข้าราชการถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยผู้บังคับบัญชา หรือผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ข่มขู่ คุกคามทางเพศ ฯลฯ

“สาเหตุหลักๆ นั้นเกิดจากค่านิยมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ หรือปัญหาเชิงโครงสร้าง ประกอบผู้หญิงที่ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงานนั้นเกิดความกลัวและอายรวมถึงได้รับวัฒนธรรมเรื่องของการเป็นช้างเท้าหลังดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่กล้ามาร้องเรียน ตรงนี้จึงเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่ต้องรอการแก้ไข ดังนั้นการปรับทัศนคติในเรื่องของการออกแจ้งความเอาผิด หรือเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรมนี้ เป็นเรื่องที่ผู้หญิงไทยซึ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำต้องเป็นผู้ตระหนัก”

ด้านนางเอ (นามสมมติ) ผู้ที่เคยถูกกระทำและเลือกที่จะลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตนเอง กล่าวว่า หลังจากที่ตนถูกทำร้ายร่างกายจากข้าราชการการเมือง เนื่องจากตนได้โต้แย้งเรื่องเบิกจ่ายที่ผิดระเบียบราชการ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงต้องการปกป้องงบประมาณแผ่นดิน แต่สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาทำกับตนต่อสาธารณชนนั้น ทำให้หดหู่ หวาดกลัว และอับอาย ดังนั้นตนจึงได้ลุกออกมาปกป้องสิทธิ์ด้วยการแจ้งความดำเนินคดี ข้อหาทำร้ายร่างกายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในการพิจารณาของศาล ทั้งนี้ จึงอยากฝากถึงคนที่ถูกกระทำในลักษณะนี้ ว่าควรที่จะออกมาปกป้องสิทธิ์ของตน แม้ว่าจะถูกคุกคามจนก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตก็แล้วแต่ เพราะไม่อย่างนั้นความชั่วจะเข้ามาทำให้สังคมย่ำแย่

ส่วนนางสาวจันทิมา ธนาสว่างกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ กล่าวถึงแนวการดำเนินงานของหน่วยงานยุติธรรม ในการหาแนวทางแก้ไขเพื่อลดปัญหาการถูกคุกคามทางเพศ และปกป้องผู้ถูกกระทำรุนแรง ที่หวาดกลัว อับอาย ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ว่ากระบวนการยุติธรรมต้องปรับทัศนคติใหม่ หรือต้องเข้าใจปัญหาความรุนแรงและปัญหาเชิงโครงสร้าง และต้องไม่มองเพียงแค่บาดแผลที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ต้องดูรายละเอียดทั้งด้านร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำ ว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด หรือไม่ใช่แค่ตัดสินเพียงความผิดลหุโทษ หรือความผิดเพียงเสียค่าปรับ (มาตรา 391) ที่นางเอผู้ถูกกระทำได้รับ หรือพูดง่ายๆ ว่าควรจะแจ้งข้อหากับผู้บังคับบัญชาที่เป็นฝ่ายกระทำรุนแรง เพิ่มเป็นข้อหาทำร้ายร่างกายพนักงานใต้บังคับบัญชาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ หรือจำคุก 2 ปี ปรับ 4,000 บาท (มาตรา 295) ด้วยเช่นกัน

นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า หากต้องการที่จะแก้ไขปัญหาการถูกคุกคามทางเพศของผู้หญิง นอกจากที่กล่าวมานั้น 1.ผู้หญิงต้องเปลี่ยนแนวคิดที่ว่าตัวเองเป็นผู้ที่ทำให้องค์ กรเสียชื่อ แต่หากต้องออกมาเรียกร้องสิทธิ์ เพราะการออกมาเรียกร้องสิทธิ์จะทำให้ผู้ที่มีอำนาจหรือเป็นผู้กระทำเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเอง 2.เจ้าหน้าที่ดำเนินงาน ด้านยุติธรรมเองก็ต้องไม่ตั้งคำถามเชิงตำหนิ หรือก่อให้เกิดความอาย หรือพูดง่ายๆ ว่าควรเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้อธิบาย สำหรับผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรงหรือคุกคามทางเพศสามารถเข้าถึงหน่วยบริการได้ทุกเมื่อ เช่น 1300 ศูนย์ประชาบดี สถานีตำรวจ มูลนิธิต่างๆ รวมถึงบ้านพักเด็กและครอบครัวที่มีทุกจังหวัด

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code